#TravelNewsInterview : ท่องเที่ยวแบบสุดโต่ง ไปกับ “บอลพาเที่ยว” พร้อมด้วยหวานใจ “วรินธรซ้อนท้าย”

บอลพาเที่ยว หรือ BackpackerBall ชื่อที่หลายๆคนคุ้นเคยกันดี กับการออกเดินทางแบบสุดโต่ง ในวันนี้ TravelNews จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับเขาให้มากขึ้นอีกนิด แต่เขาไม่ได้มาคนเดียว วรินธรซ้อนท้ายหรือขนมจีน หวานใจของคุณบอลเองก็มาด้วย

  • มรสุมชีวิต คือสิ่งที่ทำให้ “บอล” พาเที่ยวมีวันนี้

หลายๆคนอาจจะคุ้นชินกับการที่คนที่มีชื่อเสียงนั้นจะต้องเป็นคนที่มีประวัติชีวิตที่ขาวสะอาด แต่กับคุณบอลนั้นไม่ใช่แบบนั้น เมื่อย้อนไปในช่วงเวลาวัยเด็ก พ่อและแม่ของคุณบอลนั้นได้แยกทางกัน ทำให้คุณบอลนั้นเติบโตมากับคุณย่าคุณยายที่ชนบท และเก็บเรื่องนี้มาเป็นปมในชีวิตของตัวเอง ทำให้เดินทางผิดคิดลองเล่นยา เงินที่พ่อและแม่ส่งมาให้ เขาไม่ได้ใช้ไปกับการเรียน แต่ใช้ไปกับเหล้ายาปลาปิ้ง ทำให้เรียนไม่จบ ซึ่งคุณบอลก็พูดแซวตัวเองว่า คนอื่นเขาเอาเกรด 4.0 ส่วนตัวเองนั้นเอา 0.4 แน่นอนว่าถ้าหากเรียนไม่จบ งานก็คงหาไม่ง่ายนัก และงานที่คุณบอลเคยได้ทำนั้น ก็เรียกได้ว่าหลากหลาย มีตั้งแต่การเป็นเด็กเสิร์ฟ พนักงานล้างจาน คอลเซนเตอร์ คนส่งเอกสาร รวมไปจนถึงเป็นเด็กนั่งดริ๊งก์ เพราะว่าตอนนั้นเรียกได้ว่าอดอยากปากแห้ง หลังจากนั้นเป้าหมายชีวิตของคุณบอลมีแต่เรื่องเงิน

“ด้วยความที่เราเองคิดแต่เรื่องเงิน ไม่ได้สนใจความชอบ คิดว่าในเมื่อเป็นลูกจ้าง แล้วเราไม่รุ่ง ไม่รวย ไม่มีตำแหน่งใหญ่โต เพราะว่าวุฒิการศึกษาไม่ได้ดี ไปค้าขายน่าจะรวย แต่สุดท้ายเราทำอะไรที่เราไม่ชอบ เราทำได้ไม่นาน ท้ายที่สุดก็ล้มเลิก”

การเป็นหนี้ก้อนใหญ่ก้อนแรกของคุณบอลเกิดขึ้นจากการที่ตัดสินใจผ่อนรถมอเตอร์ไซค์ฮอนด้าเวฟ เพื่อมาใช้ขายไก่ต้มน้ำปลา กุ้งอบวุ้นเส้น แต่สุดท้ายก็ต้องปิดกิจการไป แล้วมาทำงานใช้หนี้ที่กรุงเทพฯ จนวันหนึ่งที่คุณบอลนั้นได้เข้าทำงานที่บริษัททัวร์ ซึ่งนี้คือจุดเริ่มต้นที่เปลี่ยนชีวิตของคุณบอล และทำให้มีบอลพาเที่ยวที่ทุกคนรู้จักในวันนี้

 

คุณบอลเล่าว่า “ผมได้เห็นภาพแหล่งท่องเที่ยวสวยๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพในไทยและต่างประเทศ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้ไป แต่เราอ่านโปรแกรม ก็เลยรู้สึกว่า เฮ้ย เราอยากจะออกไปเดินทาง อยากออกไปเห็นโลกกว้าง จนท้ายที่สุดก็ตั้งมั่นกับตัวเองว่าถ้าหากปลดหนี้เสร็จ ก็จะเอามอเตอร์ไซค์คันเก่าๆ ขี่เที่ยวให้ทั่วประเทศไทย”

ในช่วงอายุ 30 – 34 ปี คุณบอลออกเดินทางด้วยนั่งรถไฟราคาประหยัด รถไฟฟรี โบกรถ ออกไปลองกางเต็นท์ ท้ายที่สุด คุณบอลจึงได้รู้ว่า “การเที่ยว การเดินทาง มันไม่ได้แพง ไม่ได้ประหยัด และได้เรียนรู้ชีวิตอะไรหลายๆอย่างจากการเดินทาง” 

“การเดินทางเป็นอีกหนึ่งโรงเรียน ที่จะสอนเราในการเรียนรู้ชีวิต ในการที่จะอยู่แบบเรียบง่าย แก้ปัญหา แล้วเราจะได้รู้สึกว่าพอเราแก้ปัญหาเยอะๆ มันจะไม่รู้สึกว่ามันคือปัญหา”

  • การตัดสินใจครั้งสำคัญ ลาออกเพื่อมาเดินทางทั่วไทย

การลาออกจากงานประจำที่มั่นคงหลังจากที่พยายามมาหลายปี สิ่งนี้เรียกได้ว่าเป็นความกล้าหาญอย่างมาก ซึ่งคุณบอลได้เล่าถึงการตัดสินใจลาออกของตัวเองในตอนนั้นว่า เขานั้นได้โพสต์ลงเฟซบุ๊กของตัวเองว่าจะลาออกเพื่อออกไปเที่ยวทั่วประเทศไทย แต่ในตอนนั้น 80% ของคอมเมนต์ล้วนแต่บอกให้เขาหยุดความคิดนี้ซะ ให้คิดเยอะๆ เพราะตอนนั้นเขาเองก็อายุ 34 แล้ว การที่จะกลับเข้าระบบการทำงานคงไม่ได้ง่าย และมันไม่มีความมั่นคง ในตอนนั้นสิ่งที่คุณบอลไขว่คว้าหามาตลอดคือความมั่นคงทางการเงิน แต่ทุกสิ่งไม่ได้เป็นไปตามนั้น มันมีแต่ความเหนื่อยยาก ซึ่งทำให้คุณบอลนั้นเกิดคำถามขึ้นมาว่าเราเกิดมาเพื่อใช้ชีวิตในการทำงาน หาเงินกินไปวันๆหรอ ท้ายที่สุด เราก็ต้องเจียดเวลาอันน้อยนิดเพื่อให้ได้ไปเที่ยวในที่ใกล้ๆ แต่พอคุณบอลได้ออกเดินทางนั้นจึงทำให้เขาได้รู้ว่านี่คือสิ่งที่เขาชอบ เขาไม่ได้ต้องการเงินเยอะแยะ แต่เขาต้องการอิสระ

 

“คือความมั่นคงเนี้ย ที่สำคัญเราต้องเป็นคนกำหนดเอง ไม่ใช่สังคมกำหนด เวลาที่เราไปอยู่กับธรรมชาติ เจอผู้คน เจอสิ่งใหม่ๆ สิ่งที่เราได้มันไม่ใช่ความมั่นคงทางกาย แต่มันเป็นความมั่นคงทางจิตใจ เราใช้ชีวิตแบบลำบากแล้วเราไม่รู้สึกลำบาก นั่นแหละคือความมั่นคงสำหรับผม”

  • วรินธรซ้อนท้าย จากผู้หญิงสายคาเฟ่ สู่เส้นทางสายลุย

“คุณขนมจีน” หรือที่เราจะคุ้นเคยในชื่อของ “วรินธรซ้อนท้าย” นั้น ในตอนนี้ทำธุรกิจของครอบครัวอยู่ สไตล์การเที่ยวของคุณขนมจีนในตอนแรกคือชอบเที่ยวตามคาเฟ่ ถ่ายรูปสวยๆ อยู่ในแอร์สบายๆ แต่พอมาเจอคุณบอลก็เหมือนได้เปิดโลกอีกใบ สัมผัสอีกพาร์ทหนึ่งของชีวิต ไปเจออากาศร้อนๆ แดดร้อนๆ แต่ก็รู้สึกดีเพราะเหมือนได้สัมผัสอีกบรรยากาศ

คุณบอลได้เสริมว่า ที่จริงแล้วคุณขนมจีนเป็นคนที่ชอบเที่ยวอยู่แล้ว แต่เป็นเที่ยวแบบสบาย เที่ยวคาเฟ่ แต่ตัวคุณบอลเองก็มีโอกาสได้จีบคุณขนมจีน เลยลองชวนคุณขนมจีนให้ไปเที่ยวด้วยกัน ไปแบบซ้อนน้องเวฟของคุณบอลไป สุดท้ายแล้วสิ่งที่ได้ไม่ใช่แค่การเที่ยว แต่เป็นเรื่องของความภูมิใจ ภูมิใจที่ตัวเองก็สามารถออกไปเที่ยวแบบนี้ได้ ลำบากได้

 

“เดิมทีลองไปเที่ยวกับเขาทริปสั้นๆ ทริปประมาณ 10 วัน The Loop เชียงใหม่ – แม่ฮ่องสอน แบบไม่ถ่ายวีดีโอเลย ลองไปดูซิ ว่าเราจะไปด้วยกันรอดไหม ทีนี้พอไปแล้วเราดันชอบ เราได้ไปสัมผัสบรรยากาศ น้ำใจของคนข้างทางที่เขามอบให้เรา เจอสิ่งที่เราไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน แล้วพอเราได้นั่งซ้อนท้ายเวลาลมปะทะหน้า ต่อให้เราจะร้อนแค่ไหน เรารู้สึกดี เราชอบ ก็เลยกลายเป็น เราไปไหนไปกันได้เลยค่ะ ยกเว้นนอนเมรุนะคะ” คุณขนมจีนเล่าให้พวกเราฟังพร้อมรอยยิ้ม 

 

“คือเรารู้แล้วว่าเขาเป็นไทป์ประมาณไหน แต่เราต้องพาเขามาซ้อนมอเตอร์ไซค์แน่นอน แต่ว่าจะทำยังไงให้ผู้หญิงในลักษณะนี้ติดใจ ในการเดินทางเนี้ยเราได้เจอผู้คนเยอะ มันทำให้เราเข้าใจชีวิต เข้าใจโลกใบนี้ ผมก็จะให้เขาไป Route ที่สวยๆ อากาศเย็นสบาย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน แล้วผมก็จะถ่ายวีดีโอเขา ให้เขาได้เห็นตัวเองในตอนที่เขาไปลุย ในตอนที่เขาไปคุยกับคุณป้าคุณยาย ในตอนที่เขาสนุกสนานกับมอเตอร์ไซค์ ประมาณว่าค่อยๆนวดก่อนให้เขาติดใจ พอหลังจากนั้นเราก็เพิ่มลิมิตความโหด แต่สุดท้ายภูมิใจไหมในทุกระดับที่ข้ามมาได้ในแต่ละระดับความโหด” คุณบอลถามคุณขนมจีน

 

รู้สึกภูมิใจในตัวเองมาก ที่กล้าก้าวข้ามผ่านคอมฟอร์ทโซนของตัวเอง”

 

ซึ่งตัวคุณบอลเองก็ยังหวังว่าสักวันหนึ่งคุณขนมจีนจะปลดล็อกการนอนเมรุได้ แต่ตัวคุณขนมจีนในตอนนี้ยังคงปฏิเสธในการนอนที่เมรุแบบ 100%

  • เหตุผลที่ใช้มอเตอร์ไซค์เป็นรถคู่ใจในการเดินทาง

ในการท่องเที่ยวหลายๆคนก็คงจะมีตัวเลือกมากมายให้ได้เลือกว่าอยากจะเดินทางอย่างไร ขับรถ นั่งขนส่งสาธารณะ ขึ้นเครื่องบิน นั่งรถไฟ ซึ่งแน่นอนว่าทุกคนล้วนมีเหตุผลเป็นของตัวเองในการเลือกเดินทาง คุณบอลเองก็มีเหตุผลที่ใช้รถมอเตอร์ไซค์ในการเป็นพาหนะคู่ใจ ซึ่งคุณบอลเองเล่าว่าในตอนที่เขาตัดสินใจที่จะลาออกจากงานมาเดินทางนั้น เขาใช้ชื่อ ‘บอลพาเที่ยว Backpacker Ball’ เพราะในตอนที่เขายังทำงานอยู่ เขาออกเที่ยวแบบแบกเป้เที่ยว แต่เมื่อลาออกแล้ว ด้วยเงินที่มีจำกัด เขาไม่สามารถที่จะซื้อบิ๊กไบค์ได้ หรือการใช้ขนส่งสาธารณะนั้นก็สิ้นเปลือง และไม่สามารถที่จะพาเขาไปได้ทุกที่ ดังนั้นการใช้มอเตอร์ไซค์จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

 

ในตอนแรกที่ออกเดินทางนั้นคุณบอลไม่เคยขี่มอเตอร์ไซค์ไปที่ไหนไกลๆ ด้วยซ้ำ เขาขับแค่ส่งเอกสารในเมือง เดินทางในเมือง แต่คุณบอลได้รับแรงบันดาลใจจากคนโซเชียล เช่น คุณลุง 500 ถึงเขาจะอายุเยอะ แต่เขาเองก็ขับมอเตอร์ไซค์แม่บ้านออกเที่ยวได้ ถ้าคุณลุงทำได้ เขาเองก็ต้องทำได้

 

ตั้งแต่เริ่มต้นการเดินทางจนถึงตอนนี้ทักษะที่คุณบอลไม่มีเลยคือการซ่อมรถ เพราะว่าเขาขับรถมอเตอร์ไซค์แม่บ้าน ถ้าพังก็หาร้านซ่อมง่าย ค่าเซอร์วิสไม่แพงมาก หรือแม้แต่น้ำมันเครื่องก็ไม่เคยเปลี่ยน และสิ่งที่ได้จากการขี่มอเตอร์ไซค์คันเล็กแบบนี้คือมันพาเราไปได้ทุกที่ เข้าถึงชุมชน เข้าถึงชาวบ้าน ซึ่งเมื่อชาวบ้านเห็นคุณบอล จะมีคำถามที่คล้ายๆกันคือ ‘น้องมาขายอะไรนิ มีอะไรขายบ้างนิ’ เพราะว่ารถนั้นมีความพะรุงพะรังของสัมภาระ และเรื่องนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คุณบอลและชาวบ้านได้พูดคุยกัน และได้มิตรภาพใหม่ๆกลับมา คุณบอลนั้นเปิดใจพูดคุยกับชาวบ้าน

 

“มอเตอร์ไซค์นี่แหละคือพาหนะที่ทำให้อิสระเหมือนติดปีก

โดยไม่ต้องใช้เงินเยอะแยะมากมาย”

 

  • ท่องเที่ยวแบบนี้ สุดโต่งไปไหม?

นี้คงเป็นหนึ่งในคำถามที่หลายๆ คนถามขึ้นมาเมื่อได้ดูคลิปของคุณบอล ซึ่งทางคุณขนมจีนก็ได้บอกว่าพวกเขาไม่ติดว่าใครจะมองยังไง ถ้าเรามีความสุข แล้วเราสามารถทำได้ เราก็ทำไป ขอแค่ไม่เดือดร้อนใครก็พอ

คุณบอลเองก็ได้พูดถึงเรื่องนี้ว่าสำหรับตัวเขาเองแล้วเป็นเรื่องธรรมดา ในสายตาคนอื่นสิ่งที่คุณบอลทำนั้นอาจจะเป็นความสุดโต่งที่มากเกิน เพราะนั้นคือมาตรฐานของคนที่ดู และเพราะความสุดโต่งที่เขาทำมาตลอด ทำให้เขามีวันนี้ วันที่สามารถใช้ชีวิตได้มากขึ้น แรกๆ มันอาจจะดูลำบาก แต่ถ้าทำไปนานๆ มันจะกลายเป็นความธรรมดา 

 

“คุณและหลายๆคนที่กำลังดูอยู่ควรจะทำอะไรที่มันสุดโต่ง สุดโต่งที่สร้างสรรค์ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากคุณอยากที่จะมีธุรกิจส่วนตัว คุณต้องเก็บเงินอย่างสุดโต่ง หาความรู้อย่างสุดโต่ง แล้วสิ่งที่ได้หลังจากผ่านมาในเรื่องของความสุดโต่งของตัวเอง คือความภาคภูมิใจ ภาคภูมิใจที่ เฮ้ย เราทำมันได้เว้ย เฮ้ย เราภาคภูมิใจ แล้วเราก็เสพความสุดโต่งในเรื่องต่างๆที่ไม่ได้เดือดร้อนใคร”

.

แต่แน่นอนว่าเมื่อทั้งสองกลายเป็นบุคคลสาธารณะสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยก็คือเรื่องของการเจอคอมเมนต์ที่ไม่ดีหรือการถูกตัดสินจากคนที่ไม่รู้จัก ทั้งคุณบอลและคุณขนมจีนต่างก็เคยพบเจอเรื่องแบบนี้ ในตอนแรกคุณขนมจีนนั้นเรียกได้ว่าจิตตกจากคอมเมนต์ต่างๆ ส่วนคุณบอลเองก็เคยคิดจะเลิกทำบอลพาเที่ยวเพราะคอมเมนต์ในตอนนั้นด้วย

 

“ผมโดนบูลลี่มาตั้งแต่ตอนที่ลาออกจากงานมาเที่ยวทั่วประเทศไทย รุมด่ากัน ทั้งในเว็บพันทิปอะนะ เห้ย ไอ้บอลเที่ยวแบบขอทาน แบบนี้จะให้แรงบันดาลใจอะไรใครได้ แต่ผมกล้าการันตี คอนเฟิร์ม ณ ตรงนี้เลย ทุกคนที่ติดตามมา หลายๆคนจะเป็นพยานได้เลยว่า บอลไม่เคยขอข้าวใครข้าวใครกิน ไม่เคยขอที่นอนใครนอน” 

 

บอกได้เลยว่าตัวคุณบอลเองนั้นบอกอย่างชัดเจนมาโดยตลอดว่าตัวเขาจะไม่รับของที่คนอื่นนำมาให้ แต่แน่นอนว่าก็ต้องมีบางครั้งที่ไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้ เคยมีคนให้ปลากระป๋องเขามา 10 กระป๋อง คุณบอลเลยเลือกที่จะแบ่งปันต่อโดยการให้คนอื่นไป 9 กระป๋อง เก็บไว้กินเองเพียงแค่ 1 กระป๋อง เพราะไม่อยากให้คนที่เอาของมาให้เสียน้ำใจ แต่ตัวเขาเองก็โดนด่าอยู่ดี คุณบอลเคยคิดจะเลิกแชร์เรื่องราวของตัวเอง แต่ก็ได้คนที่ติดตามเขาเข้ามาให้กำลังใจ ทำให้เขาในตอนนั้นกลับมามีแรงฮึดอีกครั้ง พร้อมกับนำเอาคอมเมนต์ที่ไม่ดีมาเป็นแรงผลักดัน เป็นวัคซีนที่ให้จิตใจเราได้แข็งแกร่ง และคุณบอลยังได้บอกอีกด้วยว่าไม่ใช่แค่โซเชียล ในสังคม ในการทำงานทุกวัน คุณก็จะโดนติฉินนินทาเรื่อยไป ฉะนั้นนี้คือบททดสอบชีวิตที่เข้ามาให้คุณเรียนรู้

 

“ผมแค่อยากจะบอกว่า ในโลกใบนี้ ทุกคนหลากหลายมุมมอง หลากหลายความคิดเห็น ฉะนั้นเราไม่สามารถให้ทุกคนคิดอย่างที่เราคิดได้”

 

ส่วนตัวคุณขนมจีนในตอนแรกที่ได้เจอคอมเมนต์แง่ลบ คุณขนมจีนก็จิตตก แต่หลังจากนั้นคุณขนมจีนเองก็ค่อยๆได้ทำความเข้าใจกับเรื่องนี้ เริ่มยิ้มและปล่อยผ่านไป ด้วยความคิดที่ว่าถ้าเราไม่ได้เป็นแบบที่เขาพูด มันก็ไม่เป็นไร ให้เขาพูดไป

การเตรียมตัวก่อนออกเดินทาง

เป็นสิ่งที่ใครหลายๆคนน่าจะสงสัยในเรื่องนี้ แต่คำตอบกลับเรียบง่ายกว่าที่เราหลายคนคิดกันมากๆ เพราะทั้งคุณขนมจีนและคุณบอลต่างตอบเหมือนกันว่าเตรียมเสื้อผ้า เตรียมตัว และเตรียมใจ

 

เมื่อก่อนคุณบอลเองเคยหาข้อมูล ดูแม้กระทั่งอุณหภูมิ แต่พอได้เดินทางเยอะ จึงไม่ได้หาข้อมูลอะไรมากขนาดนั้นแล้ว เมื่อมีปัญหาหน้างาน ก็แก้เอาหน้างาน ค่อยว่ากัน อุปกรณ์ซ่อมรถก็ไม่เคยเอาไป เพราะว่ารถที่คุณบอลใช้นั้นคือรถมอเตอร์ไซค์แม่บ้าน ไม่ว่าไปที่ไหนก็ซ่อมได้

 

เขาว่ากันว่าการเดินทางจะทำให้รู้จักกันมากขึ้น คุณบอลกับคุณขนมจีนเองก็เช่นกัน ที่ทั้งสองต้องผ่านการปรับตัว การจูนความคิด ทัศนคติเรื่องต่างๆด้วยกัน

 

คุณขนมจีนเองเป็นคนที่ไม่ได้ชอบความร้อน แต่เมื่อต้องออกท่องเที่ยวพร้อมกับคุณบอล คุณขนมจีนเองก็ต้องปรับตัว ไม่ใช่แค่คุณขนมจีนที่ปรับ คุณบอลเองก็เช่นกัน ด้วยความที่เมื่อก่อนคุณบอลนั้นออกเดินทางคนเดียว พอต้องออกเดินทางเป็นคู่ไปกับคุณขนมจีนแน่นอนว่าเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน ก็มีตึงๆใส่กันบ้าง แต่พอคิดว่าเขาเองก็อุตส่าห์มากับเรานะ แล้วยิ่งเดินทางด้วยกัน เรียนรู้กันก็ทำให้ทั้งสองคนหายตึงกันได้ไว

 

แต่เรื่องราวการเดินทางของทั้งสองคนก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เพราะว่าก็มีครั้งที่ทั้งสองคนทะเลาะกันจนเกือบที่จะต้องเลิกกัน แยกย้ายกันไปจริงๆด้วย

 

คุณขนมจีน : ทริปคลั่งรักวาเลนไทน์คือด้วยความที่เป็นตัวเขา แล้วเราเป็นตัวเรา มันเป็นทริปแรกที่เราเดินทางด้วยกันแบบไกลมากที่สุดที่แบบจะได้เรียนรู้กัน แล้วพอคนคนละขั้วมาเจอกันอะค่ะ เรารักกัน แต่ไลฟ์​สไตล์เราค่อนข้างไม่ตรงกัน แล้วความคิดเราอาจจะไม่ค่อยตรงกันเท่าไหร่

คุณบอล : ทริปนั้นเป็นทริปแรกเลยที่พาหวานใจเที่ยวแบบหลายจังหวัดมาก วาดเป็นรูปหัวใจในแผนที่ประเทศไทย แล้วเราถ่ายวีดีโอ ถ่ายยูทูบด้วย 

เหนื่อยด้วย งานด้วย ก็ไม่ได้ดั่งใจด้วย ในการที่เราจะเอาอย่างนู้น เอาอย่างนี้ Behide The Scene เลยนะ คือในคลิปเนี้ยก็ยังไปกันต่อนะ เหมือนกับง้อกันตรงนั้น แต่จริงๆมาง้อกันระหว่างทาง ระหว่างทางที่กำลังจะขี่กลับ จะออกจากอุทัยละ แต่ท้ายที่สุดพอเราได้คุยกัน ได้ปรับความเข้าใจกัน ก็เริ่มกันใหม่ สตาร์ทกันใหม่ หายใจเข้าลึกๆ แล้วสุดท้ายมันก็ไปต่อได้ มันก็เหมือนเป็นจิ๊กซอว์อีกตัวหนึ่งที่ทำให้เราค่อยๆเรียนรู้กันไป ถามว่าหลังจากนั้นทะเลาะกันไหม ก็มีนะ

คุณขนมจีน : มีบ้างแต่ไม่ได้ถึงขั้นหนักขนาดนั้น คือมันสามารถให้เราได้เรียนรู้ การเดินทางมันเรียนรู้ชีวิตคู่ของเราจริงๆ คือเล็กๆน้อยๆ จากที่เราเคยแบบ เอ๊ย อันนี้ไม่ได้ไม่ได้ ที่มันต่อกันไม่ติด มันทำให้เราก้าวข้ามผ่านตรงนั้นได้ง่ายมาก เพราะว่าเราได้มีด้ายแดง

คุณบอล : ด้ายแดงที่มันเหนี่ยวขึ้น ผ่านทุกการเดินทาง มันถักทอให้เหนี่ยวขึ้น แล้วจะปล่อยวางกับเรื่องบางเรื่องที่เราเคยซีเรียสได้ เรื่องบางเรื่องเราก็ปล่อยวางได้มากขึ้น บวกกับความสวยงามที่เราเคยเจอ สุดท้ายมันก็ทำให้เรานึกถึงเรื่องดีๆที่เราสองคนได้ไปเจอมา ฉะนั้นไอ้เรื่องปัญหาต่างๆมันก็กลายเป็นปล่อยวางได้เร็วขึ้น 

อีกหนึ่งเพื่อนคู่ใจที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับคุณบอลคือมอเตอร์ไซค์ ซึ่งคันที่คุณบอลใช้เดินทางอยู่ในตอนนี้นั้นไม่ใช่คันแรกและก็ไม่ใช่คันสุดท้าย เพราะว่าก่อนที่คุณบอลจะมาใช้คันนี้ คุณบอลเคยใช้คันอื่นมาก่อน คันแรกคือน้องเวฟฟี่ ใช้งานนานถึง 10 ปี เป็นคันที่ใช้ขับขายอาหารพ่วงข้าง ส่งเอกสารรอบกรุงและยังเป็นมอเตอร์ไซค์คันแรกที่พาคุณบอลไปทั่วประเทศ คันที่ 2 คือน้องบักอึด มอเตอร์ไซค์ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Honda เมื่อใช้มาได้ 2 ปี จึงได้มีคันที่ 3 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน น้องบึกบึน ถึงแม้เวลาจะผ่านไปแต่คุณบอลก็ยังใช้มอเตอร์ไซค์คันเล็กแบบเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง ด้วยเหตุผลที่ว่ามีความทนทานมาก ที่ซ่อมก็หาได้ง่าย หรือถ้าหากเกิดรถล้มก็สามารถใช้เท้าค้ำได้ทัน หรือหากค้ำไม่ทัน ก็ยังกระโดดออกมาได้ง่าย ที่สำคัญคือเรื่องของการประหยัดน้ำมัน และไม่ต้องกลัวขโมย แต่ในอนาคตก็วางแผนเอาไว้ว่าคันที่ 4 อาจจะเลือกเป็นบิ๊กไบค์ เพื่อที่ว่าให้หวานใจของคุณบอลซ้อนได้สบายมากขึ้น

 

  • สิ่งที่ได้จากการเดินทาง

สิ่งที่ทั้ง 2 คนได้จากการเดินทาง ถ้ามองในด้านวัตถุแน่นอนแล้วว่าก็คงเห็นได้อย่างชัดเจนจากบ้านที่กำลังสร้างของคุณบอลและคุณขนมจีน จากคนที่ไม่มีอะไรเลยในวันนั้น เคยติดยา ติดหนี้ ในวันนี้มีบ้านเป็นของตัวเอง เริ่มสร้างครอบครัวเป็นของตัวเอง และที่นอกเหนือจากนั้นแล้ว สิ่งที่ได้จากการเดินทางไม่ได้มีแค่วัตถุเท่านั้น ยังมีมิตรภาพดีๆ ผู้ใหญ่หลายๆคนที่สนับสนุนคุณบอลให้ได้ออกไปเจอโลกกว้าง ได้ฝึกฝนการใช้ชีวิต ได้มีความมั่นคงในการใช้ชีวิตตามแบบของตัวเอง คุณขนมจีนเองก็ได้ก้าวข้ามผ่านคอมฟอร์ทโซนของตัวเอง ได้ออกมาเจอโลกกว้าง พร้อมด้วยจิตใจที่แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น

หลังจากร่วมเดินทางกันมาคุณบอลและคุณขนมจีนมีมุมมองต่อการเดินทางว่าเป็นเหมือนหนึ่งกิจกรรมที่ทำให้ได้รู้จักตัวเองมากขึ้น ได้พาตัวเองออกไปเจอโลกใหม่ๆ ได้พบเจอปัญหาเพื่อที่จะได้เรียนรู้ที่จะแก้ไข และการเดินทางก็ทำให้พวกเขาได้พบเจอกับเพื่อนใหม่ที่มีมิตรภาพที่ดีให้แก่กัน

 

ตลอดการเดินทางที่ผ่านมาทั้ง 2 คนก็มีสถานที่ที่ประทับใจเป็นพิเศษซึ่งก็คือทริปที่มาเลเซีย แต่ก่อนที่จะได้คำตอบนี้มา บอกได้เลยว่าทั้งคุณบอลและคุณขนมจีนนั้นกลุ้มใจพอสมควร เพราะสำหรับทั้งสองคนแล้ว ทุกที่ที่ได้ไปล้วนแต่มีเรื่องราวและความประทับใจที่ต่างกันไป แต่ที่เลือกที่มาเลเซียมานั้นเป็นเพราะว่าเป็นทริปแรกที่ได้ไปต่างประเทศพร้อมกัน แล้วมาเลเซียยังเป็นประเทศที่อาหารอร่อย ผู้คนเป็นมิตร แล้วยังสามารถที่จะขับรถมอเตอร์ไซค์ไปได้

 

ค่าเข้าประเทศมาเลเซียสำหรับรถมอเตอร์ไซค์ไม่แพงนัก ค่าครองชีพเองก็ไม่ได้ต่างจากไทย ค่าน้ำมันก็มีราคาถูก ผู้คนก็สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งประเทศที่ทั้งคุณบอลและคุณขนมจีนแนะนำให้ลองขับรถไปเอง เพื่อที่จะได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ แบบที่มือใหม่ก็สามารถที่จะไปได้ หรือถ้าหากไม่มั่นใจ ในวีดีโอการเดินทางของคุณบอลและคุณขนมจีนนั้นก็มีข้อมูลมากมายให้ได้ดู เพราะทั้งสองคนบอกว่าพวกเขานั้นแชร์ข้อมูลทุกอย่าง สิ่งที่เจอ ค่าใช้จ่ายที่ใช้ เพื่อที่ว่าถ้าใครอยากที่จะเดินทาง แต่ไม่มีข้อมูล จะสามารถตามรอยในที่ที่พวกเขาไปได้

และยังมีอีกหนึ่งที่ที่คุณบอลแนะนำคือประเทศลาว เพราะอาหารการกินหรือภาษานั้นก็เรียกได้ว่าเหมือนพูดภาษาเดียวกัน ผู้คนเองก็มีน้ำใจ

 

  • เป้าหมายในการเดินทาง

ถ้าใครที่ติดตามคุณบอลมานั้นจะรู้เลยว่าประเทศไทยนั้น คุณบอลก็ไปมาหมดแล้ว ประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนก็ไปมาแล้ว เรียกได้ว่าเป้าหมายที่รถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งสามารถที่จะพาไปได้นั้นก็เก็บครบหมดแล้ว แต่แน่นอนว่าเป้าหมายของคุณบอลและคุณขนมจีนนั้นไม่ได้จบแค่นี้ เพราะเป้าหมายของทั้งสองคนคือ ‘อยากจะขี่เวฟไปทั่วโลก’ เมื่อก่อนเคยมีความฝันว่าอยากจะไปทั่วไทย แต่พอทำได้แล้ว ความฝันของคุณบอลก็ขยายออกไปไกลมากขึ้น โดยที่เป้าหมายใหม่นี้มีคุณขนมจีนร่วมด้วย

แต่ถ้าเป็นเป้าหมายที่จะทำในเวลาใกล้ๆนี้คือคุณขนมจีนไปในปีนี้คือแชงกรีล่า ประเทศจีน

 

“โลกใบนี้มันกว้างใหญ่ ประสบการณ์เยอะแยะรอเรารอทุกคนอยู่”

.

แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่กล้าที่จะก้าวออกจากพื้นที่ปลอดภัยของตัวเองเพื่อที่จะออกไปเดินทาง ซึ่งคุณขนมจีนที่เพิ่งจะเริ่มเดินทางก็ได้บอกว่าให้ลองเปิดใจทำในสิ่งที่ไม่คิดว่าจะทำได้ดู แล้วก็ไปลุ้นกับหน้างาน สนุกไปกับทุกๆเรื่อง แล้วทุกอย่างจะแฮปปี้ ซึ่งคุณบอลในฐานะนักเดินทางที่ผ่านมาหลายสนามมากๆ ก็ได้เสริมว่าให้ลองออกมาทำดูก่อน ถ้าทำแล้วไม่ชอบก็ไม่เป็นไร เพราะสุดท้ายแล้วก็ถือว่าเราได้ลอง ได้รู้ แต่ถ้ายังไม่เคย ก็ให้ออกมาลองทำเลย เพราะไม่แน่ว่าสิ่งที่เราไม่เคยคิดจะทำหรือไม่กล้านั้นอาจจะเป็นสิ่งที่ชอบ เป็นความสนุกที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับตัวเองก็ได้ แล้วทริปนั้นอาจจะกลายเป็นทริปที่ประทับใจมากที่สุดเลยก็ได้

 

  • ช่องทางการติดตาม

ติ๊กต๊อก : วรินธรซ้อนท้าย

เฟซบุ๊ก : Nhomjeen Varintorn 

ติ๊กต๊อก : บอลพาเที่ยว

เฟซบุ๊ก : บอลพาเที่ยว

คุณบอลเคยเป็นคนหนึ่งที่ล้มเหลว แต่ในวันนี้คุณบอลก็สามารถที่จะทำตามความฝันของตัวเองได้ ใช้ชีวิตให้หลายมุมมอง หลายรูปแบบและแตกต่าง แล้วชีวิตจะเต็มไปด้วยสีสัน และสนุกอย่างแน่นอน

คุณขนมจีนก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยออกเดินทางแบบลุยๆ แต่เมื่อได้ลองแล้วนั้นสิ่งที่ได้ไม่ใช่แค่ได้เที่ยวหรือได้ไปในที่ที่สวยๆ แต่ยังมีเรื่องของความภาคภูมิใจในตัวเองด้วย

NamfonStories ความสำเร็จที่ได้ ไม่ใช่แค่เทพช่วย

 

.

ในปัจจุบันวงการมูเตลูเรียกได้ว่ามาแรงแบบสุดๆ ไม่ว่าคุณจะเกิดวันอะไร เสื้อสีมงคลสีอะไร ฤกษ์งามยามดีต่างๆ รวมไปถึงขอพรที่ไหนถึงได้ผลดีที่สุด

สำหรับเธอคนนี้เองก็เช่นกัน แอร์โฮสเตสสาวจากสายการบิน Emirates น้ำฝน ศิริกุล หรือที่หลายๆคนจะรู้จักเธอคนนี้จาก I Told พระแม่ลักษมี About… ผ่านช่องทางติ๊กต๊อก NamfonStories เรียกได้ว่าไม่ว่าจะเรื่องของงาน เรื่องของการใช้ชีวิต และเรื่องของการมูเตลูล้วนไปสุดทุกทาง 

วันนี้ TravelNews พาทุกคนมาทำความรู้จักกับคุณน้ำฝนให้มากขึ้น

.

  • จุดเริ่มต้นของการเป็นนักเล่าเรื่อง

จุดเริ่มต้นการเป็นนักเล่าเรื่องของคุณฝนนั้นคือเริ่มจากการที่คุณฝนเป็นคนชอบเล่า ชอบแชร์ ชอบที่จะแบ่งปันประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ของตัวเองให้กับคนอื่น ซึ่งคุณฝนก็ได้เล่าถึงที่มาของ NamfonStories ไว้ด้วยว่า

“ช่วงที่ฝนสมัครแอร์หลายสนามมากๆ ไม่ว่าจะเป็นทั้งสายในไทยหรือสายนอก พอเราผ่านในจุดตรงนั้นมา มีทั้งความผิดหวัง ความสมหวัง เราก็มาลงบันทึกไว้ เป็นไดอารี่ของตัวเอง เลยใช้ชื่อ NamfonStories เริ่มจากในเฟซบุ๊กของตัวเองก่อน จากนั้นเราก็รู้สึกว่าพอผ่านเฟซบุ๊กเรา ก็มีแค่เพื่อนเราที่รู้เราก็ลองเขียนให้มันเป็นรูปแบบมากขึ้น ก็เลยไปเริ่มต้นเขียนที่ WordPress แล้วก็ใส่รูปภาพ ใส่เรื่องราว ว่าการสัมภาษณ์เป็นยังไง การเตรียมตัวอะไรยังไงต่างๆ แล้วหลังจากนั้นเนี้ย เราก็ค่อยๆขยับขยาย มาสู่เพจเฟซบุ๊กที่จริงจังมากขึ้น”

.

แต่ความสำเร็จนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย คุณฝนเล่าถึงในตอนที่สมัครแอร์โฮสเตสไว้ว่า “ฝนสมัครแอร์มาแล้ว ถ้าโดยเฉพาะ Emirates คือ 7 ครั้ง เพราะฉะนั้นคือมันก็ต้องตกรอบมาแล้ว 6 ครั้ง ทุกครั้งที่ตกรอบ ฝนจะมองเป็นด้านบวกเสมอ ถ้าเราพลาดครั้งนี้มันจะต้องมีอะไรที่มันยังไม่ใช่สิ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เราเตรียมตัวมาไม่ดีพอนะ เราต้องรู้ตัวเองว่าพลาดอะไร คนเราถ้ารู้ว่าเราพลาดอะไรและแก้ได้ทัน มันจะสามารถทำให้คุณพัฒนาตัวเอง ได้ดีขึ้นในครั้งถัดไป ก็เลยมานั่งตกผลึกกับตัวเอง เช่น การสอบของสายการบิน Emirates อะค่ะ เขามีรอบ CV Drop หมายความว่าไปยื่น เป็นด่าน 3 วิ ชอบไม่ชอบ จบ แทบจะไม่ได้ถามเลย แล้วก็รอบถัดไปเนี้ย เป็นการพูดคุยในกลุ่ม Group Discussion อันนี้ภาษาอังกฤษเราก็ไม่ได้ ก็เลยตกรอบไป ก็กลับมาฝึกภาษาอังกฤษ ลงเรียนภาษาอังกฤษเพิ่ม คือฝนมองทุกๆรอบที่ไม่ได้สมหวัง เป็นแรงผลักดัน เป็นแรงบันดาลใจเสมอ ครั้งต่อไปฉันจะต้องทำให้ดีขึ้น ต่อไปจะต้องได้ แต่เราพลาดจุดไหน ต้องมาวิเคราะห์ตัวเองก่อน และก็เลือกที่จะแบ่งปันเรื่องราวทั้งในตอนที่ผิดหวัง แล้วก็สมหวังค่ะ”

  • เส้นทางจากครูการงานอาชีพสู่แอร์โฮสเตส

หลายๆคนอาจจะทราบว่าคุณฝนนั้นเรียนจบคณะศึกษาศาสตร์ แต่หลายๆคนก็อาจจะยังไม่ทราบว่าจบจากสาขาคหกรรมศาสตร์ศึกษา หรือที่เราทุกคนรู้จักคือครูวิชาการงานอาชีพ มาถึงจุดนี้บอกได้เลยว่าทุกคนต้องมีคำถามเกิดขึ้นมาว่าแล้วเบนเข็มมาทางสายแอร์โฮสเตสได้อย่างไร ซึ่งคุณฝนก็เล่าว่าตัวคุณฝนนั้นชอบที่จะเห็นรอยยิ้มของเด็กๆ แต่รู้สึกว่าตัวเองนั้นไม่ได้เหมาะกับการเป็นครู เพราะเป็นคนที่มีความคิดนอกกรอบมากๆ เป็นคนที่ชอบ Adventure แล้วคุณฝนก็เกิดคำถามที่ทำให้คุณฝนนั้นค้นพบอาชีพที่ตัวเองชอบ

 “มันจะมีงานไหนหรือมีอะไรที่จะทำให้เราได้ออกไปผจญภัย หรือว่าไปท้าทายตัวเองมากขึ้น ก็เลยกลับมาถามคุณแม่ ซึ่งคุณแม่อยากให้เป็นหมอ คือลูกสาวก็ใช่ว่าจะหัวดีขนาดนั้น ก็มาถามคุณแม่อีกที ถ้าไม่ใช่หมอ อยากให้เป็นอะไร แม่ก็บอกว่า แม่ชอบเที่ยว แต่ไม่มีโอกาสได้เที่ยว ก็เลยอยากจะเห็นลูกได้ไปเที่ยว ได้ไปบิน ได้ติดปีก เราก็โอเค

อาชีพแอร์โฮสเตสก็เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่น่าสนใจ ได้ใช้ภาษา ได้ออกไปท้าทายตัวเอง ได้เจออะไรใหม่ๆ เหมาะกับคนขี้เบื่ออย่างเรา ฝนก็เลยโอเค งั้นลุยในสายแอร์โฮสเตสเลยละกัน แล้วก็กลายเป็นว่าพอมานั่งย้อนกลับไปดูตัวเองอีกที ก็รู้สึกว่าเราเป็นคนโชคดีที่ได้เจองานที่ชอบ ได้เจองานที่ใช่ แล้วตื่นมาทุกวันมีความสุขทุกครั้งที่ได้ไปทำงานค่ะ”

.

แต่แน่นอนว่าชีวิตคนเราไม่ได้ง่ายมากขนาดนั้น เพราะว่าก่อนที่คุณฝนจะได้ติดปีกนั้น ก็ได้ผ่านสนามสอบหลากหลายสนาม และมีการประกวดที่ทำให้ความฝันของคุณฝนนั้นเป็นจริง คือการประกวดรายการ The Angel ซีซั่น 2 

รายการ The Angel นางฟ้าติดปีก เป็นรายการค้นหาแอร์โฮสเตสของสายการบินนกแอร์ โดยทำในรูปแบบของรายการโทรทัศน์ และผู้ที่ชนะการประกวดจะได้เป็นนางฟ้าติดปีกหรือก็คือได้เป็นแอร์โฮสเตสนั้นเอง

คุณฝนได้เล่าว่าในการประกวดนี้ คุณฝนค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองจะได้ เพราะว่าคุณฝนนั้นดูว่ารายการว่ารายการค้นหาคนแบบไหน ซึ่งคุณฝนเป็นสายประกวดอยู่แล้ว และตัวคุณฝนมีความสดใสร่าเริง และมีความสามารถพิเศษ ซึ่งสิ่งที่คุณฝนเลือกจะแสดงคือ การร้องเพลงฉ่อย ขับเสภา รวมไปถึงมีเรื่องราวในชีวิตที่เป็นจุดเด่น และผลก็ออกมาตามที่คุณฝนคิด เพราะว่าคุณฝนได้อยู่ใน 16 คนสุดท้ายของรายการ และได้ติดปีกเป็นแอร์โฮสเตสของสายการบินนกแอร์

  • ประสบการณ์การทำงานเป็นแอร์โฮสเตสครั้งแรก

“ไฟลต์บินแรกในชีวิตจำได้เลยว่าไปสนามบินอุดรธานี เป็นไฟลต์ที่สั้นมาก 35 – 45 นาที ก็ถึงอุดรแล้ว ตอนนั้นรู้สึกว่ามันตื่นเต้นจังเลย ในการทำไฟลต์แรก เขาก็ให้ไปนั่งใน Cockpit  เพราะว่า Position มันเกิน แล้วเราไปเป็นตัวเสริม

วิวแรกที่ได้เห็นในการเป็นแอร์ก็คือวิวของจังหวัดอุดรธานี มันตื่นเต้น ถ้าได้ย้อนกลับไปมันก็ยังคงเป็นความรู้สึกดีๆ ต่อให้มันจะเป็นไฟลต์บินในประเทศ แต่ฝนรู้สึกว่ามันคือจุดเริ่มต้นของการเป็นแอร์โฮสเตสจริงๆ”

.

แต่การได้เป็นนางฟ้าติดปีกของสายการบินนกแอร์นั้น เป็นเพียงครึ่งหนึ่งของความฝันในเส้นทางอาชีพนี้ของคุณฝน เพราะจริงๆแล้วความฝันที่คุณฝนอยากจะทำมากที่สุดคือการได้ออกเที่ยวรอบโลก ซึ่งทางสายการบินนกแอร์นั้นเป็นสายการบินภายในประเทศ ดังนั้นคุณฝนจึงตัดสินใจลาออกเพื่อทำตามความฝัน แล้วไปสมัครที่สายการบิน Emirates และ Qatar Airways

ซึ่งคุณฝนได้เล่าว่า “ก่อนที่จะสมัครสายอินเตอร์ เราก็มีการฝึกซ้อมด้วยตัวเองมาระยะหนึ่ง มันแอบเป็นข้อเสียในข้อดี เราเป็นคนมั่นใจ แต่บางทีมั่นใจมากจนเกินไป จนเราไม่ได้รู้ว่าจริงๆแล้วไกด์ไลน์ที่มันถูกต้องจริงๆแล้วคืออะไร ฝนลองด้วยตัวเอง ลองผิดลองถูก จนบางครั้งเรารู้สึกว่า อาชีพแอร์ มันมีเวลาจำกัดนะ ถ้าเราจะลองไปเรื่อยๆ วันหนึ่งมันจะ Exceeding Limit ที่เขาไม่รับเราแล้ว เลยตัดสินใจไปสมัครเรียนที่สถาบันสอนแอร์ ฝนรู้สึกว่าการไปติวมันเป็นการหาเข็มทิศ ให้กับตัวเอง คนเราเก่ง ใช่ แต่ถ้าคุณขับรถแบบไม่รู้ทิศทางอะ มันก็ไปไม่ถูก มันก็ไปไม่ถึงจุดหมายสักที พอฝนได้ไปเรียน ไป Brush Up ตัวเองก็เลยได้ติด Qatar airways”

ในตอนแรกนั้นก่อนที่คุณฝนจะได้ไปอยู่ที่ Qatar Airways คุณฝนเคยสมัครสายการบินในฝัน ซึ่งก็คือสายการบิน Emirates ในตอนนั้นสายการบินนี้ได้มาเปิดรับสมัครที่ไทย และประเทศเพื่อนบ้านรอบๆ คุณฝนเรียกได้ว่าบินไปทุกที่ เพราะคุณฝนมีความคิดที่ว่า ต้องเอาตัวเองไปอยู่ในที่ที่โอกาสมันจะมาถึง และคุณฝนก็ตกรอบไปถึง 6 สนามด้วยกัน เพราะว่าในตอนนั้นเอนเนอร์จี้ของคุณฝน อาจจะยังไม่เข้ากันกับสายการบิน Emirates จึงได้ทำงานที่ Qatar Airways 1 ปี ก่อนที่จะได้ติดปีกที่สายการบิน Emirates นั้นเอง

.

  • ความแตกต่างของสายการบินระดับประเทศและระดับโลก

เป็นเรื่องที่หลายๆคนอาจจะสงสัย เพราะในการทำงานแต่ละที่ ย่อมมีความแตกต่างกันไม่มากก็น้อย ซึ่งคุณฝนก็ได้บอกว่า ขอแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือความแตกต่างของสายการบินนกแอร์และสายการบินตะวันออกกลาง และ ความแตกต่างของ Qatar Airways และ Emirates

ซึ่งความแตกต่างของสายการบินนกแอร์ กับ สายการบินตะวันออกกลางนั้น คือเรื่องของการใช้ชีวิต ตอนที่อยู่นกแอร์นั้นเราต้องตื่นนอนเอง เดินทางเอง ทำงานกันแบบพี่น้อง ซัพพอร์ตช่วยเหลือกัน เพราะว่าบริษัทเป็นบริษัทเล็กๆ จำนวนคนไม่ได้เยอะ แต่พอมาสายตะวันออกกลาง เป็นสายการบินที่ใหญ่ขึ้นมา และด้วยความที่เราไปทำงานต่างบ้านต่างเมือง เขาก็จะมีรถรับส่ง การทำงานก็จะไม่ได้ใกล้ชิดแบบของสายการบินนกแอร์แต่ในสายตะวันออกกลางนั้น เป็นบริษัทใหญ่ บางคนได้บินด้วยแค่ครั้งเดียว ก็เลยจะไม่ได้สนิทกัน 

.

ในเชิงของการทำงานมันเห็นได้ชัดว่า เวลามีปัญหาในการทำงาน เราสามารถ Speak up ได้ สามารถพูดออกไปได้ แชร์ข้อมูลกันได้มากกว่า นี่คือการทำงานในสังคมที่ Multicultural 

มาถึงความแตกต่างของ Qatar Airways กับ Emirates ใน Qatar Airways จะมีคนเอเชียทำงานอยู่ค่อนข้างเยอะ จะค่อนข้าง Conservative แล้วลูกเรือเนี้ยค่อนข้างจะขยันขันแข็งในการทำงาน

ต้องยอมรับเลยว่าคนเอเชียเป็นคนที่ทำงานสุดใจมาก แต่ในสายการบิน Emirates นั้น เพื่อนร่วมงาน จะเป็นคนที่เป็นฝั่งยุโรปมากกว่า หรือว่าเป็นอาราบิกที่เป็นแขกขาว การทำงานเขาก็จะชิลๆสบายๆ

.

“ไม่ว่าเราจะไปอยู่ไหน ฝนว่าไม่ใช่แค่สายงานแอร์โฮสเตส ไม่ว่าเราจะไปอยู่ที่ไหนเราก็ต้องเจอสังคมที่หลากหลายอยู่แล้ว เราต้องหาเวย์ของเรา ไม่ใช่ว่าเราจะขี้เกียจไปเลยก็จะถูกเขม่นถูกไหม หรือว่าจะขยัน แบบฉันทำได้ทุกอย่าง เราก็จะแบกรับภาระหน้าที่ทุกอย่าง เราจะต้องบาลานซ์ แล้วก็ต้องดูว่าเราจะอยู่ยังไงให้มีความสุข อันนี้เป็นสิ่งหนึ่งที่อยากจะแนะนำให้ใครหลายๆคน”

.

  • การปรับตัว เมื่อต้องอยู่ไกลบ้าน

หลายๆคนที่ติดตามคุณฝนจะทราบกันดีว่าคุณฝนกับคุณแม่นั้นสนิทกันมากๆ เมื่อคุณฝนต้องไปทำงานที่ต่างประเทศก็ทำให้ทั้งคุณแม่และคุณฝนต้องห่างกัน ซึ่งคุณฝนก็ได้เล่าประสบการณ์ในตอนนั้นให้ฟังว่า “ไปถึงวันแรกคือร้องไห้เลย เพราะเราไม่เคยคิดว่าการจากบ้าน แล้วมันจะเหงาขนาดนั้น ตอนแรกก่อนไปคืออยากไปมาก จะไป Enjoy Around The World ไปท่องเที่ยว แต่พอได้ไปอยู่คนเดียวมันเหงา ต้องทำอาหารเอง ทำอาหารก็ไม่เก่ง ซักผ้าเอง ถูบ้านเอง เจอ Flatmate หรือว่า Roommate ที่เข้ากันบ้าง ไม่เข้ากันบ้าง คือมันเป็นหลายๆ Emotion ที่เราจะต้องรับมือด้วยตัวเอง

เพราะฉะนั้นสิ่งที่ฝนสามารถที่จะปรับตัวได้ ก็คือวีดีโอคอลคุยกับแม่ โทรหาคุณแม่ หรือว่าบินกลับมา ในทุกๆวันหยุดที่มันสามารถบินกลับมาได้ หลายๆคนถามว่า อุ้ย ทำไมบินกลับมาบ่อยจังเลย ไม่เปลืองค่าตั๋วหรอ ไม่รู้สึกเหนื่อยหรือว่าเสียเวลาหรอ สำหรับฝนรู้สึกว่า เอาตัวเองไปอยู่ในที่ที่สบายใจ มันมีความสุขกว่า 

แต่ถามว่าแล้วทำไมยังไม่ลาออก หลายคนจะชอบถามเพราะมันดูย้อนแย้ง ก็เพราะว่าเรายังรักงานนี้อยู่ ยังคงชอบงานและสายการบินที่เราทำงานอยู่ เราก็เลยหาทางที่จะ Manage ตัวเอง”

.

Distance means nothing, when someone means everything

คำเตือน โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

  • จุดเริ่มต้นของการ ‘มูเตลู’

ในตอนนี้เราก็ได้เดินทางกับคุณฝนจนมาถึงในหัวข้อที่ใครๆก็น่าจะอยากรู้ การมูเตลูของคุณฝน มีจุดเริ่มต้นยัง หรือคุณฝนนั้นมูอะไรบ้างกว่าที่จะมาถึงจุดนี้

ซึ่งคุณฝนก็ได้เล่าว่า การมูของคุณฝนเริ่มต้นตั้งแต่ตอนที่คุณฝนเด็กๆ เป็นเด็กที่ชอบทำบุญอยู่แล้ว แต่พอโตขึ้นเข้าสู่วัยทำงาน คุณฝนเองก็อยากที่จะมีที่พึ่งทางจิตใจ ยิ่งในช่วงของตอนที่กำลังสมัครแอร์โฮสเตส ตอนนั้นลองตระเวนไหว้ตามที่ที่มีคนบอกว่าดี ไม่ว่าจะโซนภาคเหนือ หลวงพ่อทันใจ หรือภาคกลางอย่างเช่นวัดแขก พระพรหม ที่ต่างๆที่ว่าดีคุณฝนก็ไปหมด แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณฝนไหว้เสร็จแล้ว คุณฝนก็เดินเข้าไปสัมภาษณ์ โดยที่ไม่มีทักษะ ไม่มีความรู้อะไรเลย

ฝนมองว่าการที่เรามูอะค่ะ เป็นที่พึ่งทางใจให้กับเราได้ แต่ตัวเราเองก็ต้องพัฒนาตัวเองด้วย จะให้เทพมาช่วย ท่านก็คงบอกว่า โอ๊ย แล้วหนูไม่ทำอะไรเลยหรอ เขาก็ไม่รู้จะช่วยยังไง ถูกไหม ไม่มีอาวุธ ที่อยู่ในมืออะ จะไปสู้รบมือเปล่างี้ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องเตรียมอาวุธไว้ในมือของเรา แล้วพอมันถึงเวลาที่เราพร้อมแล้วมีจังหวะที่จะให้เรา จ้วง แทง มันก็อาจจะพอเหมาะพอดีกับสิ่งที่เราขอไปเพราะฉะนั้นมูได้ แต่ก็ต้องอย่าลืมพัฒนาตัวเองด้วย

.

  • มีทุกวันนี้ได้เพราะการมู

คุณฝนได้บอกกับพวกเราว่าถ้านอกเหนือจากการพัฒนาตัวเอง คุณฝนก็เชื่อว่าที่ตัวเองมีทุกวันนี้ได้เพราะการมู ด้วยความเชื่อ และประสบการณ์หลายๆครั้งของคุณฝน “ในตอนที่ได้เป็นแอร์โฮสเตสของสายการบิน Emirates ฝนก็ไปไหว้ที่วัดแขก หรือในตอนที่ทำงานแล้ว ฝนต้องการแลกไฟลต์มากรุงเทพฯ แต่หาแลกยังไงก็ไม่ได้ จนสุดท้ายฝนยกมือไหว้ขอพระแม่ หลังจากนั้น 30 นาที มีคนส่งไฟลต์กรุงเทพฯมาขอแลก มันก็เป็นเรื่องของความเชื่อ ฝนอะขอแล้วได้ เราก็กลับไปไหว้ขอบคุณเขา”

แต่แน่นอนว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นเรื่องที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ อาจจะมีบางคนใจร้อน ขอแล้วอยากได้เลย คุณฝนจึงมักแนะนำว่า อย่างแรกเลยที่ต้องมีคือความศรัทธา และของแบบนี้ต้องใช้เวลา คุณฝนก็เปรียบเทียบให้เราเห็นภาพมากกว่าเดิม ด้วยการเปรียบกับการทาครีมบำรุงหน้า การใช้ครีมทาหน้า ยังต้อง Take Time ในการรอเห็นผล และถ้าใครที่อยากจะมูก็หาเทพที่คิดว่าเขาจะเข้ากับเราได้ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะมูแล้วได้หรือสมหวังในแบบเดียวกันกับคนอื่น

.

  •  I told พระแม่ลักษมี about you 

มาถึงคอนเทนต์ยอดฮิต I told พระแม่ลักษมี about you คุณฝนเองก็เคยได้ทำคอนเทนต์นี้ แต่เป็นการเล่าย้อนไปถึงในช่วงปี 2563 เลยทีเดียว

“ตอนเราเห็นกระแสนี้เราก็นั่งยิ้ม แบบเราได้แล้วนะ จากพระแม่เนี้ยแหละ ในช่วง 2563 มีคนบอกว่าถ้าอยากได้ความรักที่จริงจังจริงใจให้ขอพระแม่ลักษมี แต่ต้องเตรียมใจไว้นะ ถ้าเขาไม่ใช่จะหลุดไปทันที ฝนก็ขอจากที่บ้านเลย เพราะตอนนั้นฝนมีรูปพระแม่อยู่พอดี เราขอคนที่จะเข้ามาซัพพอร์ตเรา ศีลเสมอกัน ถ้าไม่ใช่ก็ขอให้ผ่านไปเลย เพราะฝนอยากมีความรักที่ดีและหลังจากนั้นไม่นานคนที่ฝนคุยเขาก็เปิดตัวคนคุยของเขา เราก็ โอเค ออกไปแล้วเรียบร้อย สักพักสามีก็โผล่มาจากทิศทางไหนก็ไม่รู้ เคยคุยกันมาก่อน แต่ไม่คลิก แต่อยู่ดีๆหลังจากนั้นก็เร่ิมคลิกกันก็เลยสานต่อมาเรื่อยๆ แล้วหลังจากนั้นที่ได้เจอกันสองเดือนก็หมั้นกันเลยค่ะ”

แล้วคุณฝนก็ยังได้แชร์ให้เราได้รับรู้ถึงอีกมุมหนึ่ง ก่อนที่คุณฝนจะตัดสินใจทำคอนเทนต์เกี่ยวกับการมูอีกด้วย ในตอนที่คุณฝนทำคอนเทนต์ของพระแม่ลักษมีตอนนั้นคลิปที่ทำคือล้านวิวในเวลาไม่ถึงครึ่งวัน นั้นทำให้คุณฝนได้รู้ว่าการทำคอนเทนต์เกี่ยวกับการมูนั้นมันไม่ได้ผิด เพราะเมื่อก่อนคุณฝนคิดว่าถ้าพูดเรื่องสายมู คนจะคิดว่างมงายรึเปล่า บ้าที่เชื่ออะไรแบบนั้น กลายเป็นว่าพอคุณฝนได้ปลดล็อกจากคลิปนี้แล้ว คุณฝนก็มักจะทำคลิปแชร์เรื่องของพระแม่ เพราะว่าคุณฝนอยากให้คนศรัทธา บูชาพระแม่มากขึ้น

ในปัจจุบันการมูนั้นแพร่หลายมากยิ่งขึ้น เพราะหลายๆคนก็อยากที่จะได้ที่พึ่งทางจิตใจ อยากจะหาอะไรสักอย่างที่จะรับฟังคำขอของเขา แต่แน่นอนว่า ขอแล้ว เราก็ต้องทำด้วย เพราะหากเอาแต่ขอ ต่อให้ได้พรมา เราก็ไม่อาจที่จะได้ตามนั้นเพราะเราไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย

.

  • สำหรับมือใหม่สายมู ต้ององค์นี้แหละ

เมื่อพูดคุยกันมาจนถึงตอนนี้ หลายๆคนอาจจะรู้สึกว่าทำไมเยอะจัง มีแบบม้วนเดียวจบสำหรับคนที่อยากเข้าวงการไหม แน่นอนว่า TravelNews ก็ไม่พลาดที่จะถามมาให้ คุณฝนได้แนะนำพระพิฆเนศให้กับทุกคน เพราะว่าพระพิฆเนศนั้นเป็นปฐมบทของการเริ่มบูชาองค์เทพในศาสตร์ของฮินดู โดยท่านจะช่วยในเรื่องของความสำเร็จ ขจัดอุปสรรค สุขภาพแข็งแรง เสริมดวงของผู้ไหว้ด้วย 

.

จุดเด่นอีกเรื่องหนึ่งที่ทุกคนเห็นได้ชัดมากนอกเหนือจากเรื่องของการมูแล้ว ในช่องทางต่างๆของคุณฝน คือการที่คุณฝนนั้นเป็นคนที่มีพลังงานบวกเยอะมากๆ ตั้งแต่การเล่าถึงเรื่องที่ตัวเองนั้นสมัครแอร์มีทั้งสมหวังและผิดหวัง ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยที่จะสามารถยิ้มรับได้ในบางครั้ง

“จริงๆส่วนตัวแล้ว ฝนว่าฝนได้รับการเลี้ยงดูการหล่อหลอมมาจากคุณแม่ ด้วยเอนเนอร์จี้บวก ให้เป็นคนสู้ชีวิตแต่ไม่ได้จะต้องลดทอนคุณค่าตัวเอง เอาง่ายๆตั้งแต่เด็ก อย่างที่บอกฝนเป็นบุตรบุญธรรมเนอะ คุณแม่ก็จะสอนจะบอกเราตลอดให้เรายอมรับความจริง คนเราพอยอมรับความจริงได้อะ มันไม่จำเป็นต้องมาลดทอนคุณค่าตัวเองว่าฉันเป็นเด็กไม่มีพ่อไม่มีแม่ แล้วจากจุดนี้มันทำให้ฝนเห็นคุณค่าของการที่ฝนมีคุณแม่เป็นคุณแม่บุญธรรม พอเรารู้สึกโชคดีในชีวิต เราก็อยากจะแบ่งปันเรื่องราวดีๆที่เราเจอ หลายครั้งฝนไม่ได้คิดว่าเรื่องในชีวิตของตัวเองเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ แต่พอเล่าออกไปแล้ว หลายๆคนบอกว่ามันทำให้เขามีความสุข แล้วมันก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ประดิษฐ์ขึ้น มันเล่าออกมาจากใจ มันเลยส่งไปถึงทุกๆคนที่อยู่หน้าจอ ด้วยพลังงานบวกๆ”

แล้วคุณฝนยังได้ฝากถึงคนที่อยากจะเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์อีกด้วยว่า “หนึ่งอย่าหวังยอดวิว อย่าหวังว่าคนจะต้องมาตามฉันเยอะๆ จะต้องได้รายได้ดี เริ่มจากสิ่งที่เราชอบ เริ่มจากการแชร์ออกไปจากใจ แล้วคอนเทนต์จะเป็นคอนเทนต์ที่มีความสุข เมื่อคุณสุข คนดูเขาก็มีความสุข เขาก็จะกลับมาติดตามคุณเอง แล้วสิ่งดีๆก็จะเข้ามา คือฝนเชื่อแบบนั้น ก็เลยรู้สึกว่าสิ่งดีๆที่ฝนได้รับอะ มันเริ่มจากการให้ก่อน”

  • จุดหมายปลายทางในฝัน

“คือจริงๆแล้วมี Destination ที่อยากไปมากๆนะคะ คือไปไอซ์แลนด์ อยากจะไปดูแสงเหนือ คุณแม่ฝนน่ะ เคยตั้งเป็นสเตตัสบนไลน์ว่าครั้งหนึ่งก่อนตาย อยากไปเที่ยวรอบโลก แล้วการไปดูแสงเหนือมันก็เป็นหนึ่ง Destination ที่เขาแบบใฝ่ฝัน ก็เลยรู้สึกว่าถ้ามีวันหนึ่งเราสามารถพาเขาไปได้ ก็จะพาไป มันเป็นความความเศร้าอย่างหนึ่งในชีวิตแอร์นะ ที่แบบลูกได้ไปเที่ยวทุกที่ที่อยากไป แต่แม่ คนที่สร้างแรงบันดาลใจให้เรา กลับต้องอยู่บ้าน

แล้วบ้านอยู่แถวสุวรรณภูมิ มองเครื่องบินขึ้นลงขึ้นลง โดยไม่ได้ไปไหนเลย เราก็เลยรู้สึกว่าเนี้ยมันเป็นทริกเกอร์ในใจที่รู้สึกว่าถ้าวันหนึ่งจะพาคุณแม่ไป”

.

  • แพลนในอนาคต

“แพลนในอนาคตคืออยากกลับไปทำยูทูบอาจจะเพิ่มเติมในสายของคุณแม่และเด็ก เพราะหลังจากงานแต่งไป มีแพลนที่จะมีน้อง เพราะเรารู้สึกว่าเราอยากจะเป็นแม่ที่มีความสุข แล้วก็แชร์เรื่องราวในแบบของเรา อาจจะมี Product แม่และเด็กในอนาคต 

ช่วงที่ Maternity leave ก็จะไปช่วยสามีทำร้านร้านนายดลมะขามเฒ่า และอาจจะขายผลิตภัณฑ์อาหารทะเล แต่อันนี้คือแพลนในชีวิตคร่าวๆ เพราะเราไม่สามารถบอกได้ว่าพอถึงจุดนั้นแล้ว ฮอร์โมนคุณแม่ จะเป็นยังไง แล้วก็อีกประมาณสามถึงสี่ปี อาจจะถอดปีก เพราะเรารู้สึกว่าเราอยากจะกลับมาใช้ชีวิตครอบครัว ในช่วงที่ผ่านมาเราใช้ชีวิตค่อนข้างคุ้ม เราขอกลับมาอยู่กับครอบครัว อยู่กับคุณแม่ และนี่คือสิ่งที่หมอดูได้บอกมาค่ะ นี่คือแพลนตามหมอดูล้วนๆ แต่เรามีความสุขไง ที่แพลนไปเป็นสเต็ปๆ”

 

เรียกได้ว่าคุณฝนเป็นคนที่ดูดวงให้มาเป็นแนวทางแล้วก็เดินตามดวงเลย ซึ่งคุณฝนก็บอกมาอีกว่า เพราะเมื่อไหร่ที่คุณฝนทำตามดวง มันเกิดความสำเร็จได้ง่ายขึ้น เหมือนเป็นจังหวะชีวิตที่ใช่ มันเป็นเหมือนการเตรียมความพร้อมของเรามาก่อน แล้วมันก็พอดี

“เพราะฉะนั้นฝนอยากจะให้ความพอดีนั้นเกิดขึ้นมาอย่างถูกที่และถูกเวลา เลยฟังหมอดูแบบฟังหูไว้หู แล้วก็ลงมือทำด้วย

คือความสำเร็จมันไม่เกิดถ้าเราไม่ลงมือทำในทุกๆเรื่อง อันนี้ไม่ต้องไปดูดวงก็ได้ คือทุกคนรู้อยู่แล้ว เข้าร้านอาหาร อยากจะกินแต่ไม่สั่ง ก็ไม่มีอาหารออกมาสักที เพราะฉะนั้น ความสำเร็จทุกอย่างมันจะต้องเกิดจากการลงมือทำ ต่อให้ใครบอกว่าดีแค่ไหนแต่คุณไม่ลงมือทำ คุณก็ไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ ตามดวง คนเราดวงเคลื่อนบ่อยนะ ดวงเคลื่อนได้ เพราะคิดว่าเดี๋ยวมันก็มาเดี๋ยวมันก็มา แล้วมันก็ผ่านไป เพราะเราไม่ได้ลงมือทำ”

.

  • ช่องทางการติดตาม

เฟซบุ๊ก : NamfonStories

ติ๊กต๊อก : NamfonStories



พี่มิ Cappuccino เพราะการเป็นแอร์ไม่ใช่แค่อยากแล้วจะได้เป็น

“แอร์โฮสเตส” อาชีพในฝันของใครหลายๆคน แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะไปถึงฝัน วันนี้เราจะพามารู้จักกับหนึ่งในอดีตแอร์โฮสเตสของสายการบิน Qatar Airways

คุณมิ Cappuccino อดีตแอร์โฮสเตสมากความสามารถ หลังจากที่ได้คุยกับคุณมิแล้ว บอกได้เลยว่าเป็นการเปิดโลกของเราให้กว้างขึ้นมากๆ ทั้งในแง่มุมของเรื่องการทำงาน การตามหาตัวเอง รวมไปถึงแง่มุมๆใหม่ๆในการเดินทาง


  • ทำความรู้จักกับคุณมิ

“สวัสดีค่ะ พี่มินะคะ ถ้าเป็นชื่อที่คุ้นหูทุกๆคนก็จะเป็น พี่มิคาปูชิโน่ (Cappuccino) นะคะ เคยเป็นพนักงานต้อนรับของ Qatar Airways มา 14 ปี ตอนที่ลาออกอยู่ในตำแหน่ง Cabin Service Directors หรือก็คือหัวหน้าบนเที่ยวบิน ”

เรียกได้ว่าคุณมิเป็นแอร์ที่มีประสบการณ์มากเลยทีเดียว เพราะอายุงานของคุณมิมีถึง 14 ปีและไม่ใช่ว่าใครก็ได้ที่จะได้ทำงานตำแหน่งนี้ได้

แต่ก่อนที่เราจะไปเจาะลึกถึงประสบการณ์การทำงานของคุณมินั้น เราหลายๆคนจะรู้จักคุณมิผ่านทางช่องทางติ๊กต๊อก ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับการบิน แอร์โฮสเตส เที่ยวบิน รวมไปถึงเรื่องเล่าผ่านการแสดงเล็กๆน้อยๆของคุณมิ ตอนที่ดูบอกได้เลยว่ามีรอยยิ้มแล้วยังได้ความรู้ด้วย แต่เราก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเพราะอะไรทำไมถึงต้องชื่อ Cappuccino 

คุณมิเล่าว่า “จุดเริ่มต้นคือตอนนั้นอยู่ในร้านกาแฟ แล้วอยากจะเปิด ID ยูทูบ แต่ไม่รู้ชื่ออะไร เลยเอาคาปูชิโน่ที่อยู่ตรงหน้าเรามาตั้งก่อน คิดว่าถ้าดังค่อยเปลี่ยน แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้เปลี่ยนนะคะ เวลาคิดถึงชื่อนี้ทีไรก็คิดถึงวันนั้นที่เราเปิดยูทูบค่ะ”

เรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่เล็กๆน้อยๆ ที่วันนี้กลายเป็นเหมือนซิกเนเจอร์ของคุณมิไปแล้ว และเชื่อว่าหลายคนคงจดจำคุณมิได้ในชื่อ “พี่มิ คาปูชิโน่”

หลังจากที่เราได้รู้ถึงที่มาของชื่อที่เราคุ้นตาคุ้นหูกันแล้ว คำถามต่อไปก็เกิดขึ้นในใจ ว่าแล้วเพราะอะไร ทำไมจากแอร์โฮสเตส นางฟ้าบนเครื่องบิน ถึงได้ผันตัวมาเป็นติ๊กต๊อกเกอร์และยูทูบเบอร์ โดยคุณมิได้เล่าถึงที่มาของการเปิดชาแนลของตัวเองเอาไว้ว่า “เมื่อก่อนมิไม่ได้ชอบลงภาพหรือคลิปเลย เขินมากเมื่อก่อน แต่ตอนนั้นเราเริ่มคิดถึงอนาคตของตัวเองละ แล้วตอนนั้นเริ่มขายของแต่เราไม่ได้เป็นที่รู้จัก คนที่ติดต่อด้วยก็ไม่เชื่อใจเรา นั้นเลยเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้มาทำยูทูบ แต่พอเราทำยูทูบแล้ว เราก็ไม่อยากจะแค่ขายของอย่างเดียว เลยหาเรื่องมาเล่า เอาเรื่องใกล้ตัวของเรามาเล่า ซึ่งเรื่องที่ใกล้ตัวเรามากที่สุดคือเรื่องของอาชีพแอร์ที่เราทำ จนสุดท้ายก็เล่าแต่เรื่องแอร์ ไม่ค่อยได้ขายของค่ะ แต่ก็สนุกมากนะคะ เพราะเป็นการเล่าเรื่องชีวิตประจำวันการทำงานของเรา”

ในตอนนี้เราได้รู้จักคุณมิในพาร์ทของการที่เป็นคนดังในโลกโซเชียลแล้ว ต่อไปที่เราจะพาไปทำความรู้จักก็คือในพาร์ทของประสบการณ์ทำงานของคุณมิ เส้นทางการเป็นแอร์โฮสเตส รวมไปจนถึงเหตุผลที่คุณมิตัดสินใจที่จะลาออกจากอาชีพแอร์โฮสเตสที่หลายคนมองว่าเป็นอาชีพที่ดี และมีสวัสดิการที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก

  • จุดเริ่มต้นของการอยากเป็น “แอร์โฮสเตส”

คุณมิเล่าจุดเริ่มต้นการเป็นแอร์โฮสเตสว่า “ถ้าย้อนเวลาที่พี่มิเป็นแอร์คือ 14 ปี บวกลบไป ก็ประมาณ 17 – 18 ปีที่แล้วนะคะ ตอนนั้นคิดแค่ว่าอยากมีเงินเดือนที่ดี สวัสดิการที่ดี เลยคิดว่างานอะไรที่เราทำได้ ไม่เกินเอื้อม การเป็นแอร์เมื่อก่อนค่อนข้างยาก แต่คิดว่าตัวเองต้องทำได้สิ ยิ่งเวลาหาข้อมูลในพันทิป เขามาเล่าเรื่องของเขาเกี่ยวกับการเป็นแอร์ เรายิ่งรู้สึกว่าเขาทำได้ เราก็ต้องทำได้สิ แล้วยิ่งหาข้อมูลยิ่งอิน ยิ่งชอบ เราอยากได้เงินเดือนที่ดี มีสวัสดิการที่ดี รวมถึงอยากเที่ยวด้วย เลยตัดสินใจจะเป็นแอร์ค่ะ”

พอเราเห็นเรื่องของเวลานั้นย้อนไปมากถึง 17-18 ปีที่แล้ว แน่นอนว่าเกิดคำถามขึ้นอย่างแน่นอน ในยุคที่อินเทอร์เน็ตยังไม่แพร่หลายหรือเรียกได้ว่าข้อมูลต่างๆยังไม่มีการแชร์ต่อๆกันมากเท่าในตอนนี้ คุณมิมีการหาข้อมูลสมัครสอบยังไงบ้าง 

“ถ้าเราอยู่รุ่นใกล้ๆกันก็คือพันทิป เขาจะสร้างห้องลูกเรือของสายการบินต่างๆ เราก็เข้าไปตามอ่านที่เขาเขียนเล่าเรื่อง เขาลงภาพ ยิ่งคนเขียนอิน ยิ่งอ่านสนุก แล้วก็มีเว็บไซต์ Thai Cabin Crew มีข้อมูลเยอะมากค่ะ” คุณมิเล่า

เรียกได้ว่าพันทิปคือเว็บไซต์ที่สำคัญมากเลยทีเดียวนะคะ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ก็มีสื่ออื่นๆเข้ามา ทำให้หลายๆคนอาจจะไม่ค่อยได้ใช้งานเว็บไซต์นี้ แต่แน่นอนว่าเว็บไซต์นี้นั้นมีส่วนช่วยอย่างมากในการทำงานหรือหาข้อมูล พูดคุย ปรึกษาข้อสงสัย และเว็บไซต์ Thai Cabin Crew ในตอนนี้เองก็ยังคงเปิดให้เราเข้าไปหาข้อมูลได้

ใครหลายๆคนคงคิดว่าการได้เป็นแอร์โฮสเตสนั้น คือจุดจบของเรื่องราวนี้ แต่เมื่อเราได้เริ่มต้นแล้ว ย่อมเป็นการเปิดประตูบานใหม่ เพื่อไปพบเจอโลกกว้างและประสบการณ์ต่างๆ มีทั้งเรื่องที่ดี และเรื่องที่ไม่ดี แล้วยิ่งต้องไปทำงานอยู่ที่ต่างประเทศ แน่นอนว่าการได้พบเจอผู้คนที่ต่างสัญชาติ ต่างวัฒนธรรม ต่างความคิด ทำให้เกิดประสบการณ์ที่ลืมไม่ลงและทำให้ได้ตระหนักถึงความหลากหลายบนโลกใบนี้

  • ประสบการณ์ Culture Shock หรือการถูกเหวี่ยงวีนจากผู้โดยสาร

แอร์โฮสเตสเป็นอีกหนึ่งงานบริการที่ต้องเจอลูกค้าที่หลากหลายทั้งภาษา วัฒนธรรม ความเชื่อ แน่นอนว่าต้องมีเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องจดจำ ซึ่งคุณมิได้เล่าว่า 

“เหตุการณ์แบบนี้มีเยอะมาก ด้วยการที่ทำงานกับสายการบินใหญ่ แล้วในการทำงานคือมีคนหลายเชื้อชาติ หลายภาษา มีพื้นที่ที่เราไม่รู้จัก สัญลักษณ์ การทำมือต่างๆ บางท่าเราเป็นท่าปกติ บางทีเป็นการขอเวลา บางที่ถ้าเราทำท่านี้คือเขาโกรธเลยนะ ไม่พอใจ เรื่องอื่นๆด้วย เช่น อย่างเรื่องการใช้เท้า ของเขาอาจจะมองเป็นเรื่องปกติ แต่เราคือตกใจมากเรื่องนี้

เรื่องของความเชื่อก็ด้วย พี่มิเคยบินไฟล์ทหนึ่ง จะมีคนที่เขาบินข้ามเขตนี้ต้องล้างมือ เปลี่ยนชุด ห้องน้ำคือเปียกโชก เป็นพิธีกรรมทางศาสนาขจอง ผู้โดยสารจะเปลี่ยนชุด คลุมผ้าเช็ดตัว ตอนนั้นพิมิคือตกใจมาก เพราะไม่มีใครบอกเรามาก่อน แต่ละศาสนา แต่ละวัฒนธรรม ต่างกันไป ต้องเคารพกันและกันค่ะ

แล้วมันเป็นเรื่องปกติของการทำงานที่เป็นงานบริการมาก ที่เราอาจจะเจอลูกค้าที่เหวี่ยงใส่เรา เพราะความพอใจของแต่ละคนไม่เท่ากัน ยิ่งทำงานกับหลายๆกลุ่มคน บางคนเขาอารมณ์ไม่ดีมาเหวี่ยงใส่ก็มี เคยมีการเขวี้ยงของ ทำร้ายก็มี แบบจนถึงขั้นต้องเรียก Security ก็มี บางทีเกิดขึ้นจากเรื่องเล็กๆ บางคนเขารู้สึกหงุดหงิด ก็ระเบิดอารมณ์ใส่เรา คนที่ดื่มแอลกอฮอล์ แล้วมาสาดเบียร์ใส่หน้ามิก็มี เป็นเรื่องปกติ แต่ก็อยู่ที่บริบทว่าเราสามารถจัดการได้ไหม”

โดยแน่นอนว่าเมื่อเกิดปัญหาที่หน้างานแล้ว การแก้ปัญหาเองก็สำคัญไม่แพ้กัน โดยคุณมิได้เล่าว่า “ก่อนที่จะขึ้นบินนั้นสายการบินจะต้องมีการเทรนพนักงาน เช่นว่าบางทีเราก็ต้องเป็นคนถอย ให้ผู้โดยสารเขาอารมณ์ดีขึ้นนะ อีกอย่างคือบางทีมีการไม่ชอบหน้าของลูกเรือ เราก็ต้องแก้ไขกันหน้างาน ย้ายน้องคนนี้ไปทำตรงนั้น ย้ายน้องตรงนั้นไปทำตรงนี้แทน”

เรียกได้ว่าเป็นการเปิดโลกใหม่ให้กับคนที่อยู่นอกวงการแอร์โฮสเตสเลยก็ว่าได้ เราหลายๆคนคิดว่าต่อให้งานแอร์โฮสเตสจะเป็นงานที่ต้องให้บริการ แต่ก็เป็นการบริการที่อยู่บนเครื่องบิน คงจะดีกว่าการที่ทำงานบริการทั่วๆไป แต่สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะทำงานอะไร ย่อมต้องมีเรื่องที่คาดไม่ถึงและเป็นเรื่องที่ทำให้การทำงานของเราไม่สนุก สร้างความเสียหายทั้งทางร่างกายและจิตใจได้เหมือนกัน

ในตอนนี้หลายๆคนอาจจะใจไม่ดีที่ได้ฟังเรื่องราวอีกด้านของอาชีพนี้ แต่แน่นอนว่าอาชีพนี้ไม่ได้มีแต่เรื่องที่ไม่ดี เพราะสวัสดิการของสายการบินนี้นั้น เรียกได้ว่าคุ้มค่าและควรค่าแก่การทำงานเป็นอย่างมาก สวัสดิการแรกที่นึกถึงเลยสำหรับสายท่องเที่ยว แน่นอนว่าคือการซื้อตั๋วเครื่องบินได้ในราคาพิเศษ คุณมิเองก็มีประสบการณ์เกี่ยวกับสวัสดิการนี้ค่อนข้างเยอะเลย

คุณมิเล่าว่า “คุณมิใช้สวัสดิการตั๋วเครื่องบินตลอด เรียกได้ว่านับครั้งที่ซื้อเต็มได้เลย แทบจะทุกครั้งที่ซื้อตั๋วราคาพนักงานค่ะ เขาลดให้เรา 90% มันก็คุ้มที่เราจะกลับมาอยู่ไทยบ้าง หยุดสามสี่วัน ก็บินกลับไทย ใช้สวัสดิการตรงนี้ก็ช่วยเราได้มาก เป็นอีก 1 โอกาสของชีวิตที่ได้ไปที่ต่างๆ แต่ก็มีเงื่อนไข ถ้าเที่ยวบินเต็ม เราต้องรอให้ลูกค้าไปก่อนนะ ไปให้หมดก่อน บางทีเราเองก็ตกค้างที่สนามบิน แต่ไม่เรียกเป็นข้อเสียเนอะ เป็นข้อด้อย เพราะเราใช้ได้เต็มที่เลย”

เรียกได้ว่าเป็นสวัสดิการที่ดีและน่าสนใจมากเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเราเป็นคนไทยที่ต้องไปทำงานที่ต่างประเทศ เพราะพอถึงช่วงวันพัก ใครๆ ก็คงจะอยากบินกลับมาอยู่ที่บ้าน มาอยู่กับครอบครัว เป็นสวัสดิการที่ทำให้เราสามารถที่จะได้พบหน้าครอบครัวของตัวเราเองบ่อยครั้งมากขึ้น


  • คำแนะนำสำหรับคนที่อยากจะสมัครเป็นลูกเรือของสายการบินต่างๆ

อย่างที่หลายคนทราบกันดี การจะเข้าไปเป็นแอร์โอสเตสนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งนอกจากเราจะต้องเตรียมตัวในเรื่องของการทดสอบแล้วนั้น ยังมีสิ่งหนึ่งที่หลายคนมองข้าม

โดยคุณมิได้แนะนำว่า “คนที่มีความฝัน เขาต้องหันกลับมาดูตัวเองว่าพร้อมไหม ไม่ใช่แค่เรื่องของการสัมภาษณ์ แต่เป็นเรื่องของสุขภาพด้วย เราพร้อมทั้งภาษา ทั้งวุฒิ แต่สุขภาพไม่พร้อม หลายๆคนก็พลาดฝันนั้นไปเลยนะคะ เป็นเรื่องที่หลายๆคนมองข้าม พี่มิแนะนำว่าให้ตรวจสุขภาพว่าเป็นอุปสรรคสำหรับเราไหม ความรู้ทักษะ หาจากสื่อหรือหาความรู้ได้ง่ายมาก ไม่ว่าจะเรื่องของหลักการหรือการเตรียมความพร้อมด้านจิตใจ ซึ่งข้อมูลตรงนี้ทำให้เราได้เตรียมใจ ทำให้รู้สึกว่าเราอยากจะไป อยากจะทำ อยากเป็น ข้อมูลหาง่ายมาก แต่ให้เน้นเรื่องของสุขภาพด้วย”

บอกได้เลยว่าในขณะที่เรากำลังสัมภาษณ์ตอนนั้น นี้เป็นเรื่องที่เราไม่คาดคิดมาก่อน เพราะเราคิดว่าการที่จะสอบเข้าเป็นแอร์โฮสเตสเนี่ยต้องฝึกทั้งเรื่องต่างๆเยอะมากๆ แต่พอคุณมิพูดถึงเรื่องของสุขภาพขึ้นมา ทำให้เรารู้ว่าแม้แต่พวกเราเองคนทั่วไปก็ลืมคำนึงถึงเรื่องสุขภาพไปเยอะมากๆ ดังนั้นแล้ว เมื่อคุณอยากจะเป็นแอร์โฮสเตสหรืออยากจะเป็นลูกเรือ อาชีพที่ต้องเจอสภาพอากาศและการทำงานที่ต่างออกไป เรื่องของสุขภาพนั้นสำคัญห้ามมองข้ามเป็นอันขาด เพราะไม่อย่างนั้น หลายๆคนอาจจะต้องพลาดฝันครั้งนี้ด้วยเรื่องของสุขภาพนั้นเอง

  • ก่อนที่จะตัดสินใจลาออก มีความลังเลบ้างไหม

คุณมิเล่าว่า “ก่อนที่จะตัดสินใจลาออกลังเลมาก ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ เราใช้ชีวิตกับอาชีพนี้มา14 ปี เป็นอาชีพที่ดี จรรโลงชีวิตและจิตใจมาก  ก่อนจะออกคือคิดมาก ลังเล ถึงขั้นเขียนในกระดาษ ข้อดีข้อด้อย ลิสเยอะมาก คิดหนักมาก เป็นความกลัวในใจว่าออกมาทำอะไร หารายได้ยังไง เราจะไหวไหม ความกลัวเยอะมาก 

แต่ก็ต้องตัดสินใจอาชีพนี้มีเส้นทางของมัน วันหนึ่งจะถึงจุดที่พอละ ไม่วันนี้ก็พรุ่งนี้ ไม่ปีนี้ก็ปีหน้า เลยบอกตัวเองว่าออกมาเถอะ มาวางแผนชีวิตในวันที่เราไหว มาหยิบจับอะไรที่จะไปต่อได้ในอนาคต พอถึงจุดที่มั่นใจเลยตัดสินใจลาออก แต่ก่อนออกก็ปรึกษากับครอบครัว เพราะเขาก็กังวลกลัวเราเครียด เราก็ต้องทำให้ครอบครัวเรามั่นใจว่าเราเลือกแล้ว แต่ก็มีเคว้งคว้างบ้าง แต่พอย้อนไปดูกระดาษที่จดไว้ เลยเป็นไปได้ด้วยดีถึงตอนนี้

แล้วตอนนี้นอกจากจะแนะนำคนที่อยากเป็นแอร์แล้ว ต้องแนะนำคนที่อยากจะลาออกด้วย”

พอมาถึงตรงนี้ ก็รับรู้ได้เลยว่าการลาออกครั้งนี้ต้องใช้ความกล้ามากๆ ทั้งๆที่งานนั้นมั่นคงและมีสวัสดิการที่ดี แต่พอได้รู้เหตุผลแล้ว การลาออกครั้งนี้จึงเป็นการลาออกโดยที่วางแผนมาเป็นอย่างดี เมื่อหันหลังกลับไปมองแล้วนั้น ไม่มีเรื่องไหนที่ต้องรู้สึกเสียดายหรือเสียใจที่ตัดสินใจอย่างนั้น

จากที่คุณมิเล่ามานั้น มีการวางแผนก่อนที่จะลาออกแล้ว และหลายๆคนที่เป็นแฟนคลับของคุณมิคงจะได้เห็นว่าในตอนนี้นั้นคุณมิกำลังเปิดธุรกิจอะไรอยู่ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเพราะอะไรและทำไมถึงเลือกที่จะเปิดธุรกิจนี้ และเริ่มต้นได้อย่างไร

“การเปิดธุรกิจของพี่มิคือเริ่มจากจุดเล็กมากๆ ข้อจำกัดต่างๆ เริ่มจากอะไรเล็กๆ เริ่มทำหลังจากแอร์ พี่มิก็ทำคลิป แต่รู้สึกว่าต้องทำอย่างอื่นด้วย เลยพยายามนึกถึงจุดแข็งของตัวเอง คือเรื่องของการดูแลตัวเอง ความสวยความงาม เพราะเราเป็นแอร์ เราต้องดูแลตัวเอง แต่งหน้าตลอด บอกเล่าจากประสบการณ์ของตัวเอง เป็นจุดแข็งที่พูดได้จริง แล้วก็เริ่มพัฒนาเรื่อยๆ เราเดินทางกว่า 100 ประเทศ เราเห็นช่องทางการหาของจากการเดินทางที่ผ่านมา สกินแคร์ วิตามิน เครื่องสำอาง ซึ่งจากการเป็นแอร์ทำให้เรามีเครดิตในส่วนนี้มาก เป็นจุดแข็งเลย”

  • แล้วมีแพลนที่จะเปิดโรงเรียนสอนแอร์ไหม

เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่หลายๆคนอาจจะตั้งตารอคำตอบนี้ เพราะจากที่เราได้เห็นคุณมิในช่องทางออนไลน์ต่างๆที่มาทั้งบอกเล่าประสบการณ์ เรื่องราวต่างๆ ยังมีในเรื่องของการไปเป็นวิทยากรให้กับน้องๆที่มหาวิทยาลัยด้วย

“เคยคิดว่าเปิดสอนดีไหม พอลองมาลองธุรกิจ เราสนุกกับการทำธุรกิจมากกว่า แต่ก็มีเคยลองเหมือนกัน ต้องขอบคุณที่เราที่อยากลองทำอะไร ก็ทำเลย ทำหนึ่งสองสามสี่ เราเลยเลือกจากสิ่งที่ตัวเองชอบก่อน แต่งานสอนแอร์จะเป็นงานรองถ้ามีที่ไหนติดต่อมา ก็ดูเป็นที่ๆไป เป็นนักเรียน นักศึกษา เราก็ไปให้เขาถ้าเราสะดวก เป็นความสุขทางใจของเราค่ะ”

เราเห็นคุณมิมีความสุขกับการทำงานมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นแอร์โฮสเตส หรือตอนนี้ที่มาทำเป็นธุรกิจของตัวเอง จนอดสงสัยไม่ได้ว่า ด้วยเนื้องานของทั้งสองอาชีพนี้เป็นงานที่ไม่เป็นเวลามากนัก รวมถึงทั้งพอเป็นธุรกิจส่วนตัวของตัวคุณมิเอง ยิ่งต้องทุ่มเทให้ค่อนข้างมาก ในตอนนี้คุณมิมีใครมาแง้มประตูหัวใจแล้วรึยัง

“การเป็นแอร์ทำให้เราใช้ชีวิตคนเดียวค่อนข้างบ่อย ต้องหัดใช้ชีวิตคนเดียวให้เป็น พอวันนี้อยู่คนเดียว ก็ไม่รู้สึกอะไร เพราะมันเหมือนเป็นตัวเรา ไม่ได้แย่ ไม่ได้รู้สึกขาด มีเพื่อน มีครอบครัว เคยชินกับการอยู่คนเดียว แต่ก็ไม่ได้ปิดกั้นนะคะ”

  • จุดหมายปลายทางที่อยากจะแนะนำ

“ความชอบของเราเป็นแบบไหน ต้องดูแต่ละคน แต่ของมิบางทีเราไม่มีเวลา แต่เราชอบไปนั่งอยู่ร้านกาแฟ สวนสาธารณะ มองดูผู้คน เตรียมของไปกินนิดๆหน่อยๆ เราเพลินมาก แต่ที่ที่พี่มิชอบคือที่ญี่ปุ่น ชอบความสบายใจเวลาที่เดินที่นั้น ธรรมชาติ ผู้คนอะไรแบบนี้ค่ะ”

  • จากพี่มิถึงนักเดินทางมือใหม่

 พี่มิได้แนะนำให้นักเดินทางมือใหม่กล้าที่จะออกไปเที่ยว กล้าที่จะออกจากเซฟโซนของตัวเอง อย่ากลัวหลง เพราะ “เสน่ห์ของการท่องเที่ยวคือการหลง การไม่รู้ เราต้องลองผิดลองถูก ถ้าไม่มีผลเสียตามมา มิคิดว่าการลองผิดลองถูกคือสนุกและได้ประสบการณ์ใหม่ๆ

แต่ปัจจุบันข้อมูลหาง่ายมาก เพราะฉะนั้นความสนุกในตอนนี้อยู่ที่การค้นหาเนี่ยแหละ

ไม่ต้องกลัวแต่ให้ระวังเรื่องของมิจฉาชีพ ป้องกันตัวไว้ เอกสารสำคัญก็ถ่ายเก็บไว้ในมือถือ เผื่อของหาย เผื่อโดนล้วงกระเป๋า ของแบบนี้มีทุกที่ ถ้าเราป้องกันตรงนี้ได้ อย่างอื่นก็คือสนุกแล้ว แต่อย่าคิดว่าความหลงเป็นความเสียเวลา เพราะบางทีเราจะได้ประสบการณ์ใหม่ๆ อื่นใดคือใจของเรา เที่ยวให้สนุกอยู่ที่ใจของเรา”

  • ช่องทางการติดตาม

ช่องทางในการติดตามมินะคะ ก็จะมีในช่องทาง

Youtube : CAPPUCCINO

Tiktok : @mimi_cappuccino 

TripTH ทริปไทยแลนด์ กับเส้นทาง Blogger ท่องเที่ยว

“อดีตทหารที่เพิ่งปลดประจำการ – สาวว่างงาน”บนเส้นทาง Blogger ท่องเที่ยว TripTH ทริปไทยแลนด์ ที่ใช้แรงบันดาลใจจากผู้คนเป็นวัตถุดิบในการเดินทาง

 

อดีตทหารนาวิกโยธินที่เพิ่งปลดประจำการ และนักศึกษาสาวที่จบใหม่หมาดๆ ทั้งคู่เป็นคนศรีสะเกษ  ตัดสินใจแบกเป้ออกเดินทางครั้งแรกไปยังเกาะหมาก จังหวัดตราด เมื่อหลายปีก่อน  ก่อนกลับมาพร้อมความเปลี่ยนแปลง และประสบการณ์ที่ทั้งคู่ได้ออกเดินทางครั้งนั้น

คุณรุ่ง-รุ่งนคร ยอดคำตัน  และผู้ร่วมเดินทาง คุณดาว-ละอองดาว จันโท  ที่รักในการเดินทางท่องเที่ยว สู่เจ้าของเพจที่มียอดผู้ติดตามหลักล้าน แน่นอนว่าหลายคนคงคุ้นหูกับเพจที่มีชื่อว่า “TripTH ทริปไทยแลนด์” และคงเข้าใจในมุมมองความหมายเดียวกันคือเน้นไปที่การท่องเที่ยวในประเทศไทยเป็นส่วนใหญ่ แต่ถ้าหากว่าทริปไทยแลนด์นั้น มีจุดมุ่งหมายที่นำเสนอการท่องเที่ยวในประเทศไทยก็จริง แต่ก็ยังมีสถานที่อื่นๆ นอกเหนือจากนี้ ที่อยากแชร์ให้กับเพื่อนๆ    หลายคนได้ติดตามกัน

ที่สำคัญการเดินทางก็ได้เปลี่ยนมุมมองสายตาของคนเราไม่มากก็น้อย  ไม่ต่างจากคุณรุ่งและคุณดาวที่ได้ไปเจอสถานที่ใหม่ มิตรภาพใหม่ ที่ทำให้พวกเขาได้เรียนรู้และทำความเข้าใจกับสิ่งที่เป็น

TripTH
(แฟ้มภาพ : TripTH ทริปไทยแลนด์)

การเดินทางสำหรับแต่ละคนมีจุดเริ่มต้นและจุดหมายต่างกัน สำหรับคุณจุดเริ่มต้นคืออะไร

“ก่อนหน้านั้นผมเป็นทหารนาวิกโยธิน ส่วนดาวก็เพิ่งเรียนจบ ภายหลังจากที่ปลดประจำการก็ว่าง และดาวก็ยังไม่ได้เริ่มทำงาน เผอิญเราสองคนชอบท่องเที่ยวเหมือนกันอยู่แล้ว ก็เลยออกเดินทางท่องเที่ยวในตอนนั้น ซึ่งการเที่ยวของเราจะเที่ยวแบบใช้งบน้อย เน้นใช้ขนส่งสาธารณะ และนั่งรถไฟฟรี”

แรงบันดาลใจในการท่องเที่ยว

จริงๆ แล้ว ผมเป็นคนที่ไม่ชอบอยู่ในกรอบ ชอบมีอิสระ แล้วก็ชอบไปเจออะไรใหม่ๆ จริงๆ แล้วเราแค่ไปตามใจตัวเอง อาจจะไม่ได้มีไอดอลชัดเจน ผมมองว่าเราเองก็เรียนรู้จากคนอื่นๆ ที่เขาทำมาก่อนเหมือนกัน อย่างเมื่อก่อนก็จะมีเว็บพันธ์ทิป เราก็ศึกษามาจากตรงนั้นเหมือนกัน แล้วเอามาปรับปรุงจนกลายเป็นเราทุกวันนี้ “เหมือนเรายืนอยู่บนไหล่ของยักษ์ ทุกคนก็คือแรงบันดาลใจของเรา”

ทำไมต้องเป็นทริปไทยแลนด์

จุดเริ่มต้นที่เราตั้งชื่อนี้เพราะว่า เวลาเราไปท่องเที่ยวกลับมา เราอยากจะมาแชร์ประสบการณ์การท่องเที่ยวให้คนในประเทศไทยได้รู้ ให้เขาสามารถเข้ามาหาข้อมูลได้ ทริปไทยแลนด์ไม่ได้นำเสนอแค่ทริปในประเทศไทย แต่เป็นทริปจากทุกสถานที่ที่ทำให้คนไทยเข้ามาดู หลายคนอาจจะเข้าใจว่าทริปไทยแลนด์เป็นทริปในประเทศไทยเท่านั้น

อายตา – ศรสวรรค์ ใจมั่น : เพราะทุกวันต้องออกไปตอแหล(เที่ยว)ถึงจะพบกับความตื่นเต้น

“ไปตอแหลกันค่าาาา”

น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความสดใส ร่าเริง พร้อมกับความตื่นเต้น แต่กลับเป็นประโยคที่ทำให้ใครหลายคนต้องตื่นตะลึงเพราะฟังดูไม่คุ้นหู พลางก็ตัดสินไปแล้วว่าเป็นคำพูดเชื้อเชิญอย่างไม่สร้างสรรค์ กลับกัน นั่นคือภาษาของชาวจ๊อกจ๊อกที่มีความหมายว่า ‘ไปเที่ยว’ โดย อายตา – ศรสวรรค์ ใจมั่น บิ้วตี้บล็อกเกอร์ชื่อดังของประเทศไทย นำมาใช้เปิดคลิปท่องเที่ยวในการไปต่างประเทศระยะยาวของเธอเอง

อายตาเล่าว่าทริปครั้งนี้เป็นผลมาจากการติดแหง็กระว่างช่วงโควิดในประเทศไทยกว่าสามปี พอหลังจากสถานการณ์คลี่คลายลง โลกกว้างก็เรียกร้องหาเธอ ซึ่งถือว่าเป็นความโชคดีหรือไม่ก็โชคชะตาเข้าข้าง บ้านในกรุงเทพหมดสัญญาเช่าได้ถูกจังหวะ เธอและแฟนหนุ่มต่างชาติจึงตัดสิ้นใจแพคกระเป๋าทิ้งประเทศกำลังพัฒนาข้ามฟากไปประเทศเจริญ

“มันเป็นช่วงที่บ้านเช่าของอายตาหมดสัญญาพอดี เลยคุยกับแฟนว่าถ้าสมมติเราจะไปเที่ยวสามเดือนห้าเดือนจะมาเสียค่าเช่าบ้านทำไมตั้งหลายหมื่น เราก็เทไปเลยสิคะ (หัวเราะ)”

“ตอนย้ายออกก็ทำคอนเทนต์เหมือนกับว่าย้ายของ ย้ายบ้าน ตอนนั้นคนก็คิดว่าอายตาจะย้ายไปอยู่เมืองนอกจริง ๆ ซึ่งอายตาก็ตอแหลด้วยแหละ (หัวเราะ) ตอแหลคนดูให้ตกใจเล่น ๆ แต่เปล่าหรอกนะ บ้านหมดสัญญาเช่าพอดี ย้ายของคืนบ้านให้เขาไป ซึ่งแพลนของอายตาคือเที่ยวเก้าเดือนที่ยุโรป เดี๋ยวพอกลับมาก็หาบ้านใหม่ได้เราจะมาเสียค่าเช่าบ้านทิ้งไว้ทำไม ออกไปตอแหลดีกว่า(หัวเราะ)”

 

 

เตรียมพร้อมก่อนตอแหล(เที่ยว)

หลังจากเตรียมตัวกว่าครึ่งปีในการทำวีซ่า เหตุเพราะห้าปีก่อนหน้าเธอทำพาสปอร์ตใหม่ถึงสองครั้งในปีเดียวกัน ซึ่งเกิดจากความหลงลืมของตัวเอง ทำให้อายตาขึ้นเป็นบัญชีผู้ต้องสงสัย แต่หลังดำเนินการกับทางกงสุลก็ผ่านเรื่องราวทั้งหมดมาได้อย่างราบรื่น แม้จะหลุดแผนการเที่ยวที่ตั้งใจไว้ในปี 2021 ก็ตาม

“พอได้วีซ่าท่องเที่ยวเราก็แพลนล่วงหน้าไว้ว่าจะอยู่วันไหนถึงวันไหน จะอยู่เมืองไหนถึงเมืองไหน เรียกได้ว่าแม็กซิมั่มเลย เขาให้เท่าไหร่เราก็หน้าด้านหน้าทนอยู่จนหมดเวลา (หัวเราะ)”

“แต่สิ่งที่อายตาต้องเตรียมตัวมากที่สุดคือต้องดูว่าช่วงที่เราไปประเทศนั้น ๆ มันเป็นช่วงฤดูอะไร โชคดีตอนไปยุโรปไม่ว่าจะเป็น เยอรมัน สวีเดน สเปน มันเป็นช่วงซัมเมอร์ แล้วซัมเมอร์ยุโรปมันก็ไม่ได้หนาวมากสามารถเอาเสื้อผ้าโป๊ ๆ ไปได้”

“แต่ต่อให้มันหนาวจริง ๆ เราก็ไปซื้อเอาที่นั่น บางคนเวลาไปต่างประเทศรู้สึกว่าเดี๋ยวมันจะหนาว ฉันจะต้องพกเสื้อกันหนาวเสื้อแขนยาวเสื้อหนา ๆ ไปพร้อมดีกว่า อายตาอยากจะบอกว่าพกไปแค่นิดเดียว แล้วไปซื้อเอาที่นั่นมันได้คุณภาพดีกว่า ยิ่งโดยเฉพาะใครที่ไม่เคยไปเที่ยวประเทศเมืองหนาวนะ วัฒนธรรมการแต่งตัวเสื้อแจ๊คเก็ตของเขามีเป็นล้านประเภท(เน้นเสียง) ถ้าใครไปเที่ยวเมืองหนาวครั้งแรกแล้วเดินอยู่ในดาวน์ทาวน์ แต่งตัวประหลาด ๆ อายตารู้เลยเนี้ยคนไทย”

“เข้าใจว่าเราอยู่ในประเทศเมืองร้อนเวลาเราดูหนังฝรั่ง เราก็จะ โอ้ยใส่แจ๊คเก็ตแบบนี้สวยเนอะ แต่บางทีเราไม่รู้หรอกว่ามันเป็นฤดูหนาว ฤดูใบไม้ร่วง หรือมันอาจจะเป็นซัมเมอร์ในวันที่ฝนตก แล้วเราก็จำเขามา แต่จริง ๆ แล้วมันมีกฎมีเกณฑ์เยอะมากเรื่องการแต่งตัว”

“อายตารู้สึกว่าเสื้อผ้าที่เราเตรียมไปอาจจะไม่ได้ใช้ เพราะช่วงฤดูมันไม่ตรงกัน เราอาจจะดูว่าประเทศนั้นเขาใส่อะไร แล้วเราก็ไปใส่แบบนั้น เสื้อกันหนาวมันไม่ได้เหมือนกันหมดมันมีทั้งกันหนาว กันลม กันน้ำ กันหิมะ คือถ้าคุณไปเที่ยวจะไปเจอหิมะมั้ย ถ้าไปแล้วไม่เจอหิมะก็ไม่ต้องใส่เสื้อที่กันหิมะก็ได้”

“ถึงแม้ว่าอายตาจะไปเที่ยวยุโรปหลายครั้ง หลายปี อายตาก็ยังแต่งตัวไม่เป็นเลย (หัวเราะ) ทั้งหมดมันเป็นสิ่งที่ต้องเตรียมตัว ต้องค้นหาข้อมูล เตรียมเสื้อผ้าไปนิดเดียวพอ ไปดูว่าคนที่นั่นเขาแต่งตัวกันยังไง เราก็ค่อยไปแต่งตามเขา”

 

 

เที่ยวไม่หรูอยู่อย่างคนในประเทศ

ยังคงมีหลายคน ต่างเข้าใจเสมอว่าการเที่ยวต่างประเทศส่วนใหญ่มักเป็นคนที่มีเงินทอง มีฐานรากทางการเงินที่แข็งแกร่ง บ้านรวย หรืออะไรต่าง ๆ นานาที่จะซัพพอร์ตให้ออกไปเจอโลก ไปเที่ยวในที่สวย ๆ อยู่หรูกินสบาย แต่กลับกันกับอายตา สิ่งที่เธอทำคือการเที่ยวอย่างประหยัด อาศัยเช่าบ้านพักเดือนต่อเดือนตามวีซ่าท่องเที่ยวของประเทศนั้น ๆ ที่กำหนดไว้

“คือจริง ๆ อายตาไม่ได้มีเป้าหมายในการเที่ยวขนาดนั้นนะ ถ้าเราสะดวกในการเที่ยวที่ไหนเราก็ไป แต่หลักการของอายตาคือเที่ยวไม่เวอร์ (ออกเสียง/ฟ/) ซึ่งต้องพูดตรง ๆ ว่าอายตาไม่ใช่คนที่มีเงินเยอะแยะ หรูหรา จะต้องกินมิชลิน จะต้องชอปแบรนด์หรู ๆ ไม่ใช่แบบนั้น เพราะเราเที่ยวหลายเดือนไม่งั้นเราก็หมดตูดพอดี (หัวเราะ)”

“อายตาจะเที่ยวแบบทั่วไป ทำกิจกรรมทั่วไป ที่พักก็จะพักทั่ว ๆ ไปไม่หรูมาก ซึ่งในระหว่างที่เราอยู่เมืองไหนอายตาก็จะหาเพื่อนใหม่ที่อยู่ในเมืองนั้น ไปทำความรู้จักกับเขา ซึ่งส่วนมากก็จะเป็นคนไทยที่อยู่ในเมืองนั้น หรือบางทีก็ไปจอยกิจกรรมกับคนในพื้นที่”

“เพราะอายตาบอกแฟนว่าไม่อยากเที่ยวอะไรสั้น ๆ เพื่อไปแค่ถ่ายรูปลงไอจีให้คนอิจฉา สุดท้ายเรากลับมาแต่มีแนวคิดแบบเดิม มีทัศนคติแบบเดิม มันทำให้เราไม่ได้อะไรจากการเสียเงินเที่ยวเลย”

“อายตาย้ำแฟนว่าเราอยากเที่ยวให้มันนานหน่อย ให้เราได้รู้จักกับประเทศนั้นมากขึ้น ให้รู้ประวัติศาสตร์ของเขา ให้รู้ว่าคนที่นั่นเขาเป็นคนแบบไหน เขาอยู่กันยังไง เลยเป็นแพลนในการเที่ยวยาวของเราในปีนี้”

ในมุมมองของอายตาการไปอยู่ในพื้นที่ไหนสักแห่งเป็นสิ่งที่น่าหลงใหล และน่าค้นหา อย่างน้อย ๆ ก็ได้เรียนรู้วัฒนธรรม สังคมประเทศที่เราอาศัย แม้จะอยู่อย่างชั่วคราวแต่ก็นานพอให้เราได้เจอมิตรภาพและสิ่งใหม่ ๆ ที่รออยู่ตรงหน้า และจะไม่มีวันหาเจอถ้ามาในคราบของนักท่องเที่ยว

“อายตารู้สึกว่าถ้าไปเที่ยวในแง่ของนักท่องเที่ยวโต๋ ๆ เต๋ ๆ เดินไปเองมันก็ได้ประมาณหนึ่ง แต่ถ้าเราได้ไปที่นั่นแล้วได้รู้จักกับคนในพื้นที่ที่อยู่มาหลายปี มันเหมือนเป็นทางลัดในการเรียนรู้ ซึ่งเราสามารถคุยได้ ถามได้ หรือถ้าเพื่อนใหม่ที่นั่นเขาว่างพาเราเที่ยวมันก็เหมือนได้เรียนรู้เร็วขึ้น ช่วยย่นระยะเวลาในการเรียนรู้ด้วยตัวเองไปเยอะ”

“เพราะบางทีการค้นข้อมูลเป็นภาษาไทยข้อมูลก็อาจจะไม่เยอะ เราก็ต้องกลับมาค้นเป็นภาษาอังกฤษ พอค้นได้ก็ใช้เวลานานในการอ่านในการตีความ แต่ในขณะเดียวกันพอมีคนเล่าให้เราฟัง เราก็จะแบบ เห้ย… ขนาดนี้เลยเหรอ (ทำเสียงตื่นเต้น)”

“หนึ่งมันทำให้สนุก สองมันรวดเร็วกว่าที่เขาได้รวบรวมประสบการณ์กว่าสิบปีที่เขาอยู่ที่นั่นมาเล่าให้เราฟัง ซึ่งสิ่งนี้มันทำให้เราไม่เหงา เพราะบางทีเราก็คิดถึงการพูดภาษาไทยกับใครสักคน พอได้คุยกับเพื่อนที่เป็นคนไทยมันก็ดีนะ แต่เพื่อนที่เป็นต่างชาติก็ดีเหมือนกัน คนแต่ละชาติก็จะมีสไตล์ที่ต่างกัน ทำให้เราสนุกได้เรียนรู้ไปอีกแบบหนึ่ง”

 

 

ความตื่นเต้นของเด็กสลัม

อายตาเล่าว่าทุกครั้งที่เธอได้ออกไปเที่ยวในสถานที่ใหม่ ๆ เหมือนพาเธอไปเปิดโลกเล็กจ้อยอันคับแคบที่เคยเห็นมาตั้งแต่เด็ก เธอมักจะย้ำเสมอว่าสิ่งที่เธอพบเจอเป็นความสุขที่ชีวิตก่อนหน้าไม่เคยมอบให้ และจะรู้สึกตื่นตา ตื่นใจ และตื่นเต้นทุกครั้งเมื่อได้ออกไปสัมผัสธรรมชาติของโลกกว้าง

“ก่อนออกไปเที่ยวจะรู้สึกตื่นเต้นอยู่แล้ว ตื่นเต้นเสมอ ไม่เคยมีวันไหนที่ตื่นมาแล้วไม่ตื่นเต้น เฮ้อ วันนี้ฉันจะไปตอแหลที่ไหนดีนะ วันนี้จะออกไปแรดที่ไหนดีนะ ทุกวันมันมีแต่ความตื่นเต้น (หัวเราะ)”

“เพราะแต่ละประเทศมันมีความกว้างใหญ่ไพศาล หรือแม้กระทั่งจุดเดิมที่เราเคยไปในคนละวันมันก็ไม่เหมือนกันแล้ว คนที่อยู่ตรงนั้นก็ไม่เหมือนกัน เมื่อวานเราอาจจะไปเจอมนุษย์ป้า วันนี้เราอาจจะไปเจอผู้ชายหล่อ มันก็ตื่นเต้นอยู่แล้ว ทำทุกวันให้ดีที่สุด”

“อย่างตอนขึ้นภูเขาไปดูใบไม้เปลี่ยนสีก็ตื่นเต้น (เน้นเสียง) กรี๊ดจนแฟนบอก เธอเบา ๆ หน่อยมันเสียงดังมาก อุ่ย (บีบเสียงเล็ก) ฉันขอโทษที่ฉันตื่นเต้นฉันไม่เคยเห็นใบไม้เปลี่ยนสี (หัวเราะ)”

เมื่อเจอเรื่องราวประทับใจ ความตื่นเต้นของคนเราก็ไม่เหมือนกัน แต่สิ่งเดียวที่ยังคงอยู่ในนั้นคือความไร้เดียงสาจากวัยเยาว์มันแฝงฝังอยู่ในตัวตนมาเสมอ ต่อเมื่อถึงช่วงชีวิตของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่

“ต้องบอกก่อนว่าอายตาพื้นเพมาจากบ้านที่จนมาก อายตาเคยอยู่สลัมตั้งแต่เด็ก ๆ อายตาก็ไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่าวันหนึ่งว่าอายตาจะมีโอกาสได้เรียนมหาลัยดี ๆ หรือว่าจะเรียนจบ จบมาได้ทำงานดี ๆ มีเงินเลี้ยงดูครอบครัว แล้วอายตาไม่เคยคิดจะได้เป็นหัวหน้าครอบครัว”

“อายตาภูมิใจเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา เพราะในทุก ๆ วันอายตาไม่ได้รู้สึกว่า (สูดหายใจเข้าลึกๆ) ฉันคืออายตาที่คนฟลอโล่หนึ่งล้านคน แต่อายตารู้สึกว่าภูมิใจว่าเราพยายามขนาดนี้เพื่อให้ได้ขยับฐานะของครอบครัวเรา ให้ตัวเราได้เจออะไรที่มันใหม่ ๆ”

“ในทุก ๆ วันอายตาก็พยายามที่จะมีความสุขกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ถึงแม้ว่าบางคนอาจจะมองว่า อุ่ย เธอชีวิตเธอดีเธอได้ไปเที่ยวตั้งหลายเดือนเธอก็ต้องมีความสุขอยู่แล้ว แต่อายตาขอพูดตรงนี้ว่าเวลาเที่ยวนาน ๆ มันมีภาวะเครียดนะ ซึ่งอายตามีภาวะ Mental Breakdown บ่อยมาก”

“เพราะว่าบางครั้งช่วงเวลาคุยงานกับทีมงานมันยาก หรือบางทีก็มีปัญหาเรื่องธุรกิจ กับมีหลาย ๆ เรื่องต้องจัดการในเวลาเดียวกัน ซึ่งไหนจะเรื่องภาษาวัฒนธรรม อาหารที่มันโคตรจะไม่อร่อย เราก็พยายามที่จะมีความสุขในทุกวันกับเรื่อง ๆ เล็ก ๆ น้อย ๆ”

“อย่างที่บอก ตื่นขึ้นมาก็รู้สึกตื่นเต้นว่าวันนี้จะไปตอแหลไหนดีนะ แค่ได้ไปเดินวอร์มาต ไปเดินทาเกตก็เลิศ อุ่ย (คุยกับตัวเอง) วันนี้ฉันจะไปเดินทาเกตฉันจะไปดูว่ามันมีอะไรถูก ๆ เลิศ ๆ บ้าง วันนี้ฉันจะไปเดินร้านขายของถูกว่ามันมีอะไรถูก ๆ แค่นี้เราก็มีความสุขแล้ว การมีความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ กับทุก ๆ วัน มันทำให้เราภูมิใจกับชีวิตเรามากขึ้น แต่ถ้าวันไหนโชคดีได้กินร้านที่มันหรูหน่อย หรือไปเที่ยวที่เวอร์ ๆ มันก็จะยิ่งมีความสุขมากกว่าเข้าไปใหญ่”

 

 

สูดหายใจอย่างเต็มปอด

ตลอดระยะเวลาการเที่ยวกว่าหกเดือนที่ผ่านมา แม้ว่าอายตาจะชอบเรียนรู้ผู้คนในประเทศต่าง ๆ ที่เธอไปเยี่ยมอาศัย จากการเข้าสังคม ปฏิบัติตัวตามวัฒนธรรมของคนในพื้นที่ เรียนรู้วิถีชีวิตของผู้คน แต่สิ่งหนึ่งที่เธอให้ความสนใจอีกอย่างคือเรื่องธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

“อายตาไม่ได้เที่ยวเชิงธรรมชาติจ๋า ๆ นะ ต้องบอกก่อนว่าอายตาเป็นคนง่าย ๆ พยายามไม่สร้างปัญหาอะไรกับคนรอบข้างเรา เพราะบางทีต้องไปถ่ายงานกับอินฟลูท่านอื่น แล้วถ้าเราเป็นคนที่มีปัญหาในชีวิต ฉันจะต้องอย่างนั้น ฉันจะต้องกินอย่างนี้มันจะร่วมงานกับคนอื่นยาก เราก็เลยทำตัวเองให้มันง่ายที่สุด ไม่ว่าใครจะพาเราไปเที่ยวที่ไหน จะธรรมชาติหรือเป็นเมืองอายตาก็มีความสุข”

“แล้วอายตาก็รู้สึกว่าในชีวิตเราโตมากับตึกสูง เราโตมากับมลภาวะ เราโตมากับรถติด แล้วพอเรามาเจอธรรมชาติ เห้ย นี้เหรอคือธรรมชาติจริง ๆ (ทำเสียงตกใจ) เพราะว่าธรรมชาติที่อายตาเคยเห็นคือสวนหลวง ร.9 สวนลุมพินี มันเป็นธรรมชาติปลอม มันเป็นธรรมชาติที่คนสร้างขึ้นมา แล้วมันก็ไม่ได้ใหญ่โต เราไม่ได้เห็นระบบนิเวศที่นั่น เราไม่ได้เห็นไลฟ์สไตล์ของการใช้ชีวิตที่นั่น มันไม่มีม้า ไม่มีชาวสวน ชาวนาให้ได้เราเห็น”

“อายตาไม่มีโอกาสได้ไปต่างจังหวัดมากนัก ด้วยความที่แม่อายตามาทำงานที่กรุงเทพฯเราไม่ได้มีญาติพี่น้องเยอะแยะ พอเราไปเห็นธรรมชาติของจริง เห้ย นี่เหรอ คือหญ้า คือมีม้า ทำไมฝรั่งเลี้ยงม้า เขาเลี้ยงไปทำอะไร แฟนก็บอกว่าเหมือนคนไทยที่เลี้ยงวัวเลี้ยงควาย อ๋อเข้าใจละ (หัวเราะ)”

“อายตาเลยรู้สึกภูมิใจกับสิ่งที่เราไม่เคยเห็น ทั้ง ๆ ที่มันเป็นสิ่งที่ธรรมดามาก ธรรมดาสุด ๆ ฝรั่งก็จะงงว่าเธอตื่นเต้นอะไร ซึ่งเราไม่เคยเห็นเราก็แฮปปี้”

“จะบอกว่าครั้งแรกที่อายตาไปเที่ยวยุโรปนะ อายตาพึ่งได้รู้จักคำว่าสูดอากาศหายใจเต็มปอดครั้งแรกในชีวิต”

“เราอยู่กรุงเทพฯมาตลอดจนอายุเกือบจะสามสิบ พอได้ไปเที่ยวยุโรปครั้งแรก เราไม่เคยรู้มาก่อนว่าเราไม่เคยได้สูดอากาศหายใจได้แบบ (ทำท่าสูดหายใจเข้าลึก ๆ) อย่างเนี้ย”

“แต่พอเราหายใจที่กรุงเทพฯก็จะแค่ เข้า ออก เข้า ออก แล้วบางทีสูดเข้าไปก็ไม่สดชื่น ไม่รู้ว่าพูดไปจะเข้าใจหรือเปล่า แต่ถ้าคนที่เคยไปในที่ที่มลพิษมลภาวะน้อย เขาจะเข้าใจว่าการสูดหายใจได้เต็มปอดจริง ๆ เป็นแบบไหน”

นอกจากมลภาวะทางกาศยังรวมถึงสภาพภูมิอากาศที่แตกต่างกัน เนื่องจากอากาศในประเทศไทยมีความชื้นจึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การหายใจลำบาก ถึงกระนั้นเรื่องท้องฟ้าก็เป็นอีกเรื่องที่อายตาได้เอ่ยถึง

“ตอนที่เราไปต่างประเทศครั้งแรก มันไม่มีควัน ไม่มีฝุ่น พอเรามองไปบนท้องฟ้า มันโปร่ง มันไม่เป็นเทา ๆ เหมือนบ้านเราที่เป็นขมุกขมัว”

“ตอนเด็ก ๆ เคยเห็นรูปวาดของฝรั่งยุคเรเนซองส์ที่เขาจะชอบวาดท้องฟ้า มีก้อนเมฆเป็นก้อน ๆ แล้วท้องฟ้าเป็นสีฟ้า ๆ ตอนเด็ก ๆ ดูรูปแล้วท้องมองฟ้าของจริงในกรุงเทพฯไม่เห็นเป็นแบบนี้เลย ฝรั่งมันตอแหลนี่หว่าทำไมมันวาดเวอร์”

“แต่พอมาต่างประเทศมองดูฟ้า อีดอก (ทำเสียงตะลึง) เหมือนในภาพวาดเลย ท้องฟ้าจริง ๆ เป็นแบบนี้ แต่ท้องฟ้าประเทศไทยไม่มี เพราะมลภาวะเยอะมากมันเป็น PM2.5 แล้วท้องฟ้าไม่เคยโล่ง ไม่เคยเห็นเมฆเป็นก้อน ๆ ขาว ๆ พอมาอยู่เมืองนอกแล้ว มึงฝรั่งไม่ได้โกหกกู มันเป็นแบบนี้จริง ๆ”

“เห็นมั้ยแม้กระทั่งท้องฟ้ามันทำให้เรามีความสุข ทำให้เราแฮปปี้ได้ ทำให้เราภูมิใจกับการเที่ยวธรรมชาติมากขึ้น”

“อีกอย่างฝรั่งเขาจะมีความตระหนักรู้ในเรื่องของการดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อม และเรื่องของธรรมชาติ หรือว่าเรื่องจิตสาธารณะค่อนข้างเยอะ มันก็เลยทำให้เราเกิดการเปรียบเทียบในบ้านเรา กับทำให้อายตายิ่งเคารพในเรื่องของสิ่งแวดล้อม และธรรมชาติมากขึ้นจริง ๆ”

 

 

เพราะการเที่ยวคือพลังของแรงบันดาลใจ

จุดมุ่งหมายของการออกไปท่องเที่ยวของแต่ละคนแตกต่างอย่างสิ้นเชิง บ้างก็เพื่อต้องการพักผ่อนจากงานรุมเร้าล่วงล้ำชีวิตส่วนตัว บ้างก็เพื่อความสนุกในที่ใกล้ ๆ  บ้างก็เพื่อหาความท้าทายใหม่ ๆ ให้กับชีวิตเดียวที่มี ณ ตอนนี้ แต่สุดท้ายหลายคนก็กลับได้แรงบันดาลใจจากการเที่ยวมาพัฒนาต่อยอดตัวเอง

“แรงบันดาลใจจากการเที่ยวได้เยอะมาก (ลากเสียงยาว) เวลาอายตาไปอยู่ในสังคมไหนอายตาก็จะชอบไปศึกษา แล้วก็พยายามลองทำสิ่งที่เขาทำดู อย่างที่ไปยุโรปสามเดือนจะไม่ค่อยแต่งหน้า เพราะเขาจะเป็นสายสวยแบบธรรมชาติแต่งหน้าน้อยมาก เครื่องสำอางก็จะไม่ค่อยมีสีสันต์ เป็นงานผิวกุ๊ก ๆ หน่อย ๆ แล้วพวกเครื่องสำอางก็จะต้องมีโลโกที่เป็นผลิตภัณฑ์ ออแกนิค ใช้แพคเกจแบบรีไซเคิล ซึ่งจะเป็นที่นิยมมาก”

“แต่ตอนอายตาอยู่ไทยต้องแต่งหน้า ชะนีไทยต้องทารองพื้นต้องเขียนคิ้ว ต้องเขียนอายไลน์เนอร์ ต้องทาปาก แต่ถ้าวันไหนไม่แต่งหน้าก็จะดูไม่ค่อยสุภาพ อย่างเวลาไปทำงานก็ต้องแต่งหน้า อันนี้คือเป็นบิ้วตี้สแตนดาร์ดของคนเอเชีย”

“พอไปเห็นสาวยุโรปคือหน้าโล้นไม่ไหว ทำไมพวกเธอไม่แต่งหน้า เขาก็ตอบกลับว่าเราจะต้องสวยจากภายใน ทุกคนมีความสวยเป็นของตัวเอง ไม่ต้องเติม เวลาแต่งก็จะแต่งน้อยส่วนอายตานั้นไม่ได้ พวกเธอมันน่าเบื่อ ฉันชอบแต่งหน้า (บีบเสียงเล็กหัวเราะ)”

“แต่ตอนนี้มาอเมริกา ชะนีอเมริกันก็มีขนตาแบบ ปัง (เน้นเสียง) ปัดคอนทัวร์แบบ ปัง โอโหแต่ละคนแต่งตัวนมแบบบึ้ม ก้นแบบจึ้ง เล็บก็คือยาว (ลากเสียงหัวเราะ) คือที่สุด มันก็ทำให้เราคิดว่าทำไมคนอเมริกันแต่งหน้าเยอะกว่าคนยุโรป ซึ่งเขาก็จะมีความสวยในแบบของเขา”

“ส่วนเวลาพูดเขาก็จะมีสำเนียงที่ต่างกัน oh my god you so pretty (บีบเสียงเล็ก) มันก็จะมีอะไรต่าง ๆ ที่ทำให้เรารู้สึกว่า โอ้ ทำไมเขาเป็นแบบนี้ (ตื่นตา) เขาเป็นแบบนี้ก็เพราะแบบนี้นี่เอง”

“พอมาอเมริกาเราก็ต้องแต่งหน้าเยอะหน่อย เพราะถ้าเราแต่งหน้าเบาปุ๊บเราก็จะเป็นอีจืด อีไข่ต้ม เป็นอีชะนีเอเชี่ยนที่แต่งหน้าจืด แต่พออยู่ยุโรปถ้าแต่งเยอะเขาก็จะ อุ่ย แต่งไปไหนอะ อุ่ย ติดขนตาไปไหนอะ (ทำเสียงกระซิบเหมือนนินทา) ซึ่งมันดูเยอะไปหมดคนก็จะมอง อายตาก็เลยต้องศึกษาว่าคนที่ไหนเขาแต่งหน้าแบบไหน แต่งตัวแบบไหน แล้วก็ทำตามเขา (หัวเราะ)”

“แต่จริง ๆ ถ้าเราเป็นตัวของตัวเองแล้วรู้สึกว่าฉันแต่งหน้าแบบนี้ ไปที่ไหนฉันก็จะแต่งแบบนี้ มันก็ได้นะ เพราะไม่มีใครเดือดร้อนจากการกระทำนั้นในการเป็นตัวของตัวเอง”

“บางวันอายตาก็แต่งหน้าแต่งตัวเยอะเหมือนกัน เพราะอยากถ่ายรูป อยากถ่ายคอนเทนต์ ซึ่งในฐานะบิ้วตี้ครีเอเตอร์ถ้าเราไม่แต่งหน้าเลยนาน ๆ มันลืมนะ อายตาเคยเป็นตอนที่อยู่เยอรมันเดือนกว่าไม่ได้แต่งหน้าเลย พอแต่งอีกทีทำไมการแต่งหน้ามันยากจัง แต่ก่อนฉันแต่งแบบเร็ว แบบด่วน แบบสับ ก็เลยพยายามลุกขึ้นมาแต่งบ้าง เพราะมันเป็นสกิลที่ขึ้นตรงกับงานของเราโดยตรง”

นอกจากแรงบันดาลใจที่ได้รับเพื่อมาปรับใช้ในการทำงานของตัวเธอแล้ว สิ่งสำคัญที่ได้จากการท่องเที่ยวสำหรับอายตาก็คงหนีไม่พ้นในเรื่องการเจอโลกเหมือนคนอื่น ๆ

“ฟังดู cliché มากเลยนะ ใคร ๆ เขาก็พูดกัน การเที่ยวคือการเปิดโลก (หัวเราะ) แต่มันก็จริงนะ ด้วยความที่อายตาเป็นเด็กจน ๆ คนหนึ่ง เคยเรียนโรงเรียนวัด เคยเรียนโรงเรียนทั่วไป ไม่เคยได้แลกเปลี่ยนต่างประเทศ มันก็ถือว่าเป็นการเปิดโลกอย่างยิ่งใหญ่เหมือนกัน”

“อีกอย่างอายตารู้สึกว่าการที่เป็นอินฟลูมีผู้ติดตามเป็นล้าน เราจะใช้พื้นที่ตรงนี้ให้เป็นประโยชน์อย่างไร ถ้างั้นเวลาเราไปเจออะไรเก๋ ๆ ไปเจออะไรที่ดี ๆ ก็เอามาบอกต่อ อย่างอายตาทำคอนเทนต์ไปเดินวอลมาร์ตก็เหมือนห้างบ้านเรา แต่เป็นซูเปอร์ถูก ๆ เราไม่เคยเห็นก็ทำใหคนติดตามมาดู”

“ถึงแม้ว่ามันอาจจะเป็นความรู้ใหม่สำหรับเรา แต่ไม่ได้ใหม่สำหรับคนอื่น เพราะอาจจะมีบางคนไม่เคยได้เห็น ไม่เคยได้เที่ยว แล้วเขาอยากที่จะรู้เหมือนกันว่าซูเปอร์ที่เมืองนอกเป็นยังไง หรืออะไรง่าย ๆ โง่ ๆ เช่น กินเคบับที่เยอรมันนี ซึ่งเคบับบ้านเรามีมั้ย มี (หัวเราะ) แต่มันไม่เหมือนที่เยอรมัน”

“อายตาก็เลยพยายามเอาสิ่งที่รู้ที่เห็นมาถ่ายทอดต่อ เพราะว่าตอนที่เราเด็ก ๆ ตอนที่เราไม่ได้มีโอกาส เราก็ดูจากสื่อเหล่านี้แหละที่ทำให้ได้เรียนรู้ ถึงแม้ว่าสมัยก่อนมันไม่มีคอนเทนต์ครีเอเตอร์ แต่อายตาก็ดูพวกบิ๊กซีนีม่ามานะ (หัวเราะ)”

“กลับมาที่ยุคนี้ เด็ก ๆ ยุคใหม่ มีอินเทอร์เน็ตดูสื่อจากเรา เราก็พยายามเอาอะไรที่มันเก๋ ๆ ดี ๆ มาบอกต่อ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่อายตารู้สึกว่าอายตาพอจะทำได้ และอันไหนที่รู้สึกว่าเป็นแนวคิดที่มันน่าจะใช้กับคนไทย เผื่อว่าคนไทยจะได้เอาไปคิดต่อหรือนำไปใช้ อายตาก็ยินดีที่จะนำสิ่งนั้นมาบอกต่อ มาเล่าให้กันฟัง”

บอล ยอด หนังพาไป : เรื่องราวระหว่างทางของสองนักเดินทาง และการผจญภัยบนความยืดหยุ่นในชีวิต

ก่อนออกเดินทาง แค่เราแวบเข้า Google แป๊บเดียว เราก็แทบจะเห็นทุกอย่างของสถานที่นั้น ๆ เกือบทั้งหมด ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น การเดินทางก็คงไม่ต่างกับการพาตัวเองไปเพื่อยืนยันสิ่งที่เรารู้อยู่แล้วก็ได้ แต่ถ้าเราเผื่อพื้นที่ว่างให้กับ ‘ความไม่รู้’ ไว้ด้วยสักครึ่งหนึ่ง เราอาจจะได้พบกับสิ่งที่ไม่คาดฝัน และสนุกกับทุกชั่วขณะของการเดินทางมากยิ่งขึ้น

เช่นเดียวกันกับ ‘หนังพาไป’ บอล-ทายาท เดชเสถียร และ ยอด-พิศาล แสงจันทร์ เขาสองคนได้พาผู้ชมออกเดินทางท่องเที่ยวต่างแดนในที่ต่าง ๆ ตลอดระยะเวลาสิบสามปี และห้าซีซั่นกับรายการของพวกเขา ภายในคอนเซปต์เที่ยวแบบประหยัด มองชีวิต เทียบกับบ้านเกิดของตนเอง เพื่อตั้งคำถามกับสิ่งที่เกิดขึ้น ท่ามกลางระหว่างทางของเขาทั้งสองคน

บอลเล่าว่าหนังพาไปแม้จะมีมาแล้วสิบสามปี การเที่ยวต่างประเทศของเขาทั้งสองคนหากนับรวม ๆ แล้วก็คงไม่ถึงยี่สิบแห่งด้วยซ้ำ ซึ่งทุกครั้งที่ออกเดินทางต่อหนึ่งซีซั่นจะนานหลายเดือน แล้วหยุดพักเพื่อทำการตัดต่อออกอากาศอยู่อีกเป็นปี

ยอดเล่าเสริมขึ้นว่าการออกไปเที่ยวหนึ่งครั้งจะใช้ระยะเวลามากพอสมควร บวกกับขั้นตอนในการตัดต่อที่ก็ต้องใช้เวลานาน เพื่อให้มีเวลาได้ใคร่ควรญตกตะกอนกับเหตุการณ์ และสถานที่นั้น ๆ ก่อนจะถอยออกมามองตัวเองเป็นบุคคลที่สามในด้านการทำงาน

“ตอนไปผจญภัยเราก็เที่ยวเต็มที่ ผจญภัยเต็มที่ ใส่อารมณ์ให้มันเต็มที่ไปเลย แต่พอเราเอาฟุตเทจกลับมาตัดต่อ เราก็จะมองมันเป็นอีกแบบหนึ่ง มองเป็นบุคคลที่สาม ว่าไอ้คนที่อยู่ในนั้นมันไม่ใช่เรา เรามองมันแล้วต้องใคร่ครวญว่า ไอ้สองคนที่อยู่ในจอนั้น ทำไมตอนนั้นมันทำแบบนี้ และมันพูดแบบนี้เพราะเหตุปัจจัยอะไร เพื่อให้มีเวลาในการย่อยให้รอบคอบอีกครั้ง แล้วเราก็จะเห็นมุมมองหลายมุมมองเพิ่มขึ้น”

 

 

นักเดินทางผู้ชอบหนีภัย

สำหรับการเดินทางของเขาทั้งสองคน ใครต่อใครต่างก็มองว่าพวกเขาเป็นนักผจญภัย ด้วยรูปแบบเนื้อหาที่นำเสนอการเที่ยวในถิ่นที่ทุรกันดาร ใช้เงินอย่างประหยัด กิน นอน หรือแม้กระทั่งปลดทุกข์ก็ไม่ได้ดูสะดวกสบายมากนัก แต่นั่นคือความสนุกและความสุขที่ปะปนกันไปในระหว่างการเดินทาง เเต่ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงภาพที่คนภายนอกมองเข้ามา สำหรับบอลและยอด พวกเขามองตัวเองว่าเป็นนักหนีภัยมากว่าจะเผชิญหน้ากับมันจริง ๆ

ยอดเล่าว่าการเป็นนักผจญภัยในมุมมองของเขา คงเป็นเหล่านักสำรวจต่าง ๆ จากชาติตะวันตก รวมถึงนักมานุษยวิทยาอีกหลายแขนง พร้อมกับเหล่านักสำรวจรุ่นบุกเบิกอย่าง อองรี มูโอต์ นักสำรวจและนักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศสที่ตัวเขาได้เอ่ยอ้างอิง

“ถามว่าเราเป็นนักผจญภัยมั้ย… คิดว่าเป็นนักเดินทางที่ชอบผจญภัยดีกว่า แต่ว่าไม่ใช่นักผจญภัยนะเพราะเวลาเจอภัยจะหนี (หัวเราะ) ซึ่งเรารู้สึกว่าเราไม่ใช่แนวนั้น นักผจญภัยมันเป็นภาพอีกแบบหนึ่งที่เรามอง แต่คนอื่นมักจะมองและบอกเราว่าเป็นนักผจญภัย พอกลับมาคิดกับตัวเอง เราว่ามันไม่ใช่ เพราะเราจะหนีภัยตลอด ส่วนใหญ่ภัยจะเข้าตัวแล้วเราต้องรีบหนี หนีให้เร็วเลยล่ะ ไม่คิดสู้ (หัวเราะ)”

ด้านบอลเล่าเสริมต่อว่า ถ้าหากเทียบตัวเขาทั้งสองคนในแง่การเป็นนักผจญภัยกับนักผจญภัยคนอื่น ๆ สำหรับเขาคิดว่ามีความแตกต่างกันมากเพราะหลาย ๆ คนมีความกล้ามากกว่า และมีการวางแผนที่รอบคอบกว่าพวกเขาทั้งสองคนเป็นหลายเท่า

“เวลาเที่ยวเราก็ชอบผจญภัยนะแต่ไม่ได้ไปถึงสเกลขนาดนั้น แต่เราก็มีความอยากรู้อยากเห็นอยู่บ้าง ชอบความปลอดภัยนิดหนึ่งแต่ถ้าสบายไปมันก็จะไม่สนุก เราคิดว่าถ้าคนที่ได้ไปเที่ยวบ่อย ๆ ความชาเลนจ์มันต้องการเยอะขึ้น อาจจะไม่ได้ไปที่สวย ๆ ง่าย ๆ เหมือนเดิมแล้ว ซึ่งมันก็จะเป็นไปตามสเต็ปแต่พวกเราจะไม่ถึงระดับนักผจญภัยเหล่านั้น”

 

 

ค้นคว้าจากการพูดคุย

ณ ตอนนี้สิ่งที่สำคัญก่อนออกเดินทางนั่นคือการหาข้อมูลเบื้องต้น เพื่อให้เข้าใจสถานที่ บริบทสังคม และผู้คนในพื้นที่นั้น ๆ เป็นพื้นฐาน ซึ่งต่างจากหนังพาไปในซีซั่นหนึ่งที่ไม่ได้เตรียมตัวหาข้อมูลไปก่อน เพราะเขาทั้งสองคนมีความตั้งใจอยากถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกของตนเองให้ผู้ชมได้เห็นทั้งความตื่นเต้น ความแปลกใหม่ และอารมณ์ส่วนตัวต่าง ๆ ที่พร้อมผสมส่งมอบผ่านหน้าจอ

บอลเล่าว่ารายบางรายการท่องเที่ยวสมัยก่อนจะเน้นให้ข้อมูลดิบ เช่น การพูดเรื่องประวัติศาสตร์ ความเป็นมา บอกความสูง ความยาว ขนาด ซึ่งบางครั้งมันสร้างอารมณ์ร่วมได้ยาก จึงทำให้เรื่องราวที่ควรรับรู้กลับถูกปัดตกไม่เข้าอยู่ในหัว นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้หนังพาไปในช่วงแรก เน้นไปที่อารมณ์ความรู้สึกส่วนตัวของการที่ไปอยู่ตรงนั้น ไม่ได้เน้นข้อมูลประวัติศาสตร์ หรือข้อมูลสำคัญ

“พอเรากลับจากการเดินทางหรือเล่าผ่านรายการไปแล้ว เราค้นพบว่า เอ้า ถ้าเกิดเราอ่านหนังสือไปสักนิดเดินไปหลังประตูนี้ก็จะเห็นสิ่งที่มันเจ๋งอยู่ตรงนี้นี่หว่า ซึ่งทุกคนที่เขาเที่ยวเขาไปดูตรงนี้กันหมดเลย แต่เราไม่รู้ ซึ่งเรามองข้ามไปแล้วมันก็จะมีความรู้สึก หว่า (ถอนหายใจ) มีความเสียดายอยู่เต็มไปหมด”

“ดังนั้นในซีซั่นหลัง ๆ เลยรู้สึกว่าถ้าจะไปที่ไหนสักที่เราต้องอ่านไปก่อน เพราะบางที่ที่ดูไม่ว้าวพอเรารู้ประวัติก็ทำให้เราร้องไห้ตามได้ก็มี แล้วพอกลับมาตัดต่อก็มาศึกษาอีกทีว่าสิ่งที่เราพูดไปมันถูกหรือเปล่า มีตรงไหนที่ผิดบ้าง หรือมีอะไรที่พอจะเพิ่มเติมได้อีก”

ไม่เพียงแค่หนังสือที่ใช้ในการค้นคว้า ปัจจุบันเว็บไซต์ต่าง ๆ ในโลกออนไลน์ก็อำนวยความสะดวกสบายในการค้นหาข้อมูลสำคัญ รวมถึงการพูดคุยกับผู้คน ซึ่งเป็นข้อมูลที่สำคัญมากพอ ๆ กับแหล่งข้อมูลเบื้องต้น

ยอดเล่าว่า “จริง ๆ นอกจากหนังสื่อก็อ่านในเว็บไซต์เยอะขึ้น เพราะพวกเว็บไซต์กับพวกหนังสือมันเป็นข้อมูลที่ต้องหาเบื้องต้นอยู่แล้ว แต่ที่น่าจะพิเศษกว่าก็คือการคุย 

คุยกับคนที่เคยได้ไป คุยกับคนที่อยากไป คุยกับคนที่ไม่อยากไป และคุยกับคนที่พลาดไป มันน่าสนใจว่าทำไม เขาไปเห็นอะไรมาก่อนหน้า เอาประสบการณ์ของเขามาลองดูว่า ถ้าเราไปแล้วเราจะเป็นแบบนี้มั้ยหรือเราจะมองเห็นต่างจากเขา หรือคนที่ไม่อยากไปเป็นเพราะอะไร มันไม่ทัชใจเขาตรงไหน

พอเข้าไปคุยกับคนมันไม่ใช่แค่เเรื่องสถานที่ เราจะรู้สึกว่าระหว่างทางการเดินทางของเขาจะมีความทรงจำกับเรื่องพวกนี้ หรือสถานที่เหล่านี้ บางทีถามเรื่องสถานที่นี้แต่เขาไปเล่าเรื่องว่าเจอแก๊งอะไรสักอย่าง เออ… มันแปลกดีนะ เราก็ได้ประสบการณ์ดี ๆ ทางอ้อมมาจากเขา เพราะบางคนไม่ได้เขียนลงไปในเว็บไซต์หรือในหนังสือซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะไม่มีวันได้อ่าน แต่ถ้าเราคุยกับคนเราจะได้ความรู้เหล่านี้เพิ่มขึ้น”

บอลเสริมต่อว่า “ข้อมูลจากคนมันจะได้เป็นอารมณ์ความรู้สึก หรือมวลความคิดน่ะ ว่ามันสำคัญกับเขายังไงเขาถึงเสียดายจนถึงทุกวันนี้ แค่นี้ก็มีมูลค่ามหาศาลแล้ว”

 

 

แผนการเที่ยวกับคติชีวิต

หลังจากหาข้อมูลเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนจะเริ่มต้นเดินทาง สิ่งสำคัญอีกข้อที่ขาดไม่ได้คือการวางแผน ซึ่งในขั้นตอนนี้แต่ละคนจะมีวิธีที่แตกต่างกันออกไป บ้างก็วางแผนอย่างรัดกุมเพื่อให้การเดินทางไม่เจออุปสรรค บ้างก็ปล่อยไปเจอเอาดาบหน้ากล้าจะลุยและชน แต่สำหรับบอลและยอดพวกเขากลับมีความยืดหยุ่นทั้งความรัดกุมและการพาตัวเองไปเจอเรื่องราว

บอลบอกว่า “พวกเราวางแผนเที่ยวไม่ได้วางแผนถ่ายงาน เพราะเราจะเอาเที่ยวเป็นหลักว่าอยากไปเมืองไหน มีที่ไหนเราสนใจบ้าง หาที่กินที่ไหน นอนที่ไหน เดินทางยังไง ส่วนเรื่องการถ่ายทำค่อยมาคิดหลักจากที่เราเห็นว่าเราอยากจะไปไหนบ้าง

การเที่ยวแบบถ่ายไปด้วยก็จะต่างจากการเที่ยวปรกติใช้เวลาในแต่ละที่เยอะขึ้น ให้เวลากับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันที่มันจะเกิดขึ้น เช่นจะเว้นเวลาไว้สักวันสองวันเผื่อมีเหตุการณ์ฉุกเฉินใด ๆ และเราต้องปรับแผนตลอดเวลา การเที่ยวของพวกเราก็จะเป็นแบบนี้ซึ่งรู้สึกว่ามันต้องยืดหยุ่น 

เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นบางเมืองเราตั้งใจจะไปดูบางอย่างแต่ไปถึงเล่าเรื่องไม่ได้เลยก็มี บางเมืองที่ไม่ได้อยู่ในแผนก็จะเล่าเรื่องได้เป็นตอน ๆ มันก็เลยจำเป็นต้องยืดหยุ่น แล้วต้องถ่ายไปเรื่อย ๆ และค่อยมาหาวิธีการเล่า ซึ่งยืดหยุ่นตั้งแต่การเดินทางจริง เปลี่ยนแผน ปรับแผนการเดินทางได้หมด รวมทั้งกลับมายืดหยุ่นในการเล่าเรื่องตัดต่อ (ยิ้ม)”

ยอดเล่าเสริม “มันก็สไตล์การทำงานเราแหละ คือการออกไปถ่ายไม่ต้องคิดว่าจะต้องได้อะไร หรือคิดไว้คร่าว ๆ ว่าจะไปที่นี่แล้วผจญกับมันเหมือนจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นก็พร้อมรับตลอด

เวลาเอามาตัดต่อเล่าเรื่องก็ต้องให้เรื่องมันพาไป ไม่ได้บังคับว่าต้องไปที่ไหน ไปจบที่ไหน หรือตรงนี้ต้องได้อะไร เป็นหลักการทำงานและเหมือนหลักการการใช้ชีวิต… ไม่ค่อยมีสาระ (หัวเราะ) ทำอะไรไม่ค่อยสำเร็จ ยืดหยุ่นไปได้เรื่อย ๆ”

บอลกล่าว “จุดหมายปลายทางอาจไม่ใช่ที่สุดของความงดงาม เพราะเราคาดหวังปลายทางไม่ได้”

แม้บอลจะสรุปเรื่องที่พูดก่อนหน้าด้วยประโยคปิดท้ายคลิปของหนังพาไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ เเต่ประโยคนี้ก็ช่วยตอกย้ำให้พวกเขาทั้งสองคนตระหนักว่าสิ่งสำคัญจริง ๆ มันคือระหว่างทาง

ยอดเล่าว่า “เรื่องระหว่างทางด้วยแหละที่มันสำคัญ เพราะบางทีระหว่างทางอาจจะมีเรื่องให้เล่าและก็ประทับใจมากกว่าจุดหมายที่เราจะไปถึง”

บอลเสริมต่อว่า “ถ้าจะเอาประโยคนี้มาใช้กับชีวิต มันจะลดความกดดันในการใช้ชีวิตในแต่ละวันได้ ซึ่งแน่นอนทุกคนมีเป้าหมายของแต่ละคนอยู่แล้วละ แต่ถ้าเราไปไม่ถึงล่ะ หรือถ้าเราตายก่อนที่จะไปถึงล่ะ มันจะไม่ได้อะไรเลยเหรอ ทั้ง ๆ ที่เราก็ทำให้ทุก ๆ วันของเรามีความสุขได้ ไม่ต้องรอให้ถึงปลายทางหรอก”

ยอดยิงมุกตบท้าย “แต่มันก็มีข้อเสียนะ… ให้เราไม่ค่อยได้งาน ทำไปเรื่อย ๆ เปื่อย ๆ ประสิทธิภาพไม่มี (หัวเราะ)”

 

 

นิสัยที่แท้จริงระหว่างทางเดิน

มีคนเคยบอกว่าถ้าเราอยากจะรู้จักใครสักคนอย่างจริงจังต้องพาคนนั้นไปลำบาก โดยเฉพาะความลำบากที่เกิดขึ้นระหว่างเดินทาง

บอลได้ให้ความเห็นไว้ว่าคนที่จะเที่ยวด้วยกันได้ต้องรู้ใจกันประมาณหนึ่ง หรือมีความเชื่อมโยงกันในบางสิ่งบางอย่าง เพื่อให้ต่อกันติดในเรื่องที่ใกล้กัน แต่ถ้าแตกต่างกันมากเกินไป การเดินทางก็จะไม่มีความสนุกเกิดขึ้นเลย 

ซึ่งความลำบากที่ว่าไว้ตอนต้นก็อาจเป็นเรื่องจริง เพราะเครื่องยืนยันจากประสบการณ์ของยอด ผู้ซึ่งเคยพาเพื่อนสนิทออกเดินทางตามสไตล์ของเขาก็ได้เห็นนิสัยของกันจากการเดินทาง

“เอาจริง ๆ เพื่อนที่สนิทกันเองเราก็ไปรู้นิสัยกันตอนเที่ยวนะ เราคิดว่าเราอาจจะสนิทกันจริงเพราะว่าเราคบกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม แต่พอไปเที่ยวด้วยกันเราพบว่าเรามีความแตกต่าง ถ้าไปเที่ยวสไตล์เราแล้วให้เรานำ เราก็จะพาอยู่แบบอะไรก็ได้ แล้วเรารู้สึกว่าระหว่างทางมันสำคัญกว่ามาก ไหนจะวิวที่มันสวยมาก ๆ แต่เขามาบ่นว่าแอร์ไม่มี เดินทางก็ลำบาก ทำไมต้องมาขับมอไซค์ตอนฝนตกอะไรอย่างนี้

เห้ย อันนี้สนุกจะตาย มันเป็นความประทับใจก่อนที่เราจะไปถึงจุดหมาย ซึ่งการไปเที่ยวก็ทำให้เรารู้นิสัยกันจริง ๆ และก็ได้ข้อสรุปว่าเราก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้เหมือนเดิมแหละ แต่เราไม่ควรไปเที่ยวด้วยกัน แค่นั้น (หัวเราะ)

แต่บางคนเรารู้สึกว่าเราไม่สนิทกับเขาเลย พอไปเที่ยวด้วยกันเรารู้สึกว่า เอ้ย… เขาชอบแบบนี่ว่ะ เขาประทับใจกันแบบนี้ว่ะ ไปด้วยกัน ลุยด้วยกัน หัวเราะด้วยกัน เราก็รู้สึกประทับใจ มันเป็นความทรงจำที่ดีที่เราได้เที่ยวด้วยกัน”

บอลเสริมต่อ “หรือถ้าการเดินทางไม่เป็นไปทางเดียวกันก็ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันหน่อยเพื่อเปิดใจเรียนรู้ อย่างพวกเราจะเน้นประหยัด เที่ยวลำบาก ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าเราเที่ยวหรูไม่ได้ ไปเที่ยวสบาย ๆ ไม่ได้ ซึ่งเพื่อนที่พี่ยอดยกตัวอย่างมาเขาอยากเที่ยวสบาย แต่พอลงมาลองเที่ยวที่มันลำบากหน่อยเขาอาจจะไม่พร้อม แค่นี้มันไม่มีใครผิดเลยนะ แค่ไม่เข้ากัน”

ยอดพูดตบท้าย “แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะเรียนรู้กันไม่ได้ แต่ว่า… พักก่อน (หัวเราะ)”

 

 

สิ่งสำคัญของการเดินทาง

ระยะเวลาสิบสามปีที่ผ่านมาของนักเดินทางทั้งสองคนย่อมต้องมีเรื่องเล่า และประสบการณ์ ทั้งความเจ็บปวด ความสุข และความทุกข์ปะปนกันไปในทุกขณะระหว่างทาง แต่สิ่งที่ทั้งสองได้รับและมองว่านี่คือความยิ่งใหญ่ของชีวิต คือการมองโลกที่หลากหลายโดยไม่ตัดสินมากยิ่งขึ้น

ยอดเล่าว่า “การเดินทางมันให้เรื่องการเติบโตจริง ๆ ถ้าเทียบเราในตอนนี้กับเราในสมัยที่เริ่มออกเดินทาง เราจะรู้สึกได้เลยว่าเรามองโลกต่างออกไปมาก ตอนนั้นเราอาจจะมีข้อดีที่กล้าฟันธง กล้าตะลุย หรือผจญภัยได้ดีกว่านี้ แต่ตอนนั้นมุมมองของเรามันแคบมาก เรายังรู้สึกว่าเมืองไทยเป็นประเทศที่ดีที่สุดในโลกในทุก ๆ ด้าน อาจจะไปด้วยทัศนะคติมองโลกแบบนั้น แต่พอเราเดินทางเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ไอ้ตัวเราที่พูดแบบนี้สมัยนั้น ตาย (เน้นเสียง) มันไม่ได้เลย

เราได้เรียนรู้ว่าโลกเรามันมีความหลากหลาย เพราะเมื่อมายาคติที่ครอบตัวเราถูกเปิดประตูออก มันก็ทำให้เราเข้าใจว่าทำไมเราถึงเข้าใจโลกแบบนั้น ทำไมเรารู้สึกแบบนั้น ทำไมเราถูกปลูกฝังมาแบบนั้น

แล้วก็เข้าใจได้ว่าทำไมตอนนี้เราถึงคิดแบบนั้น เพราะว่าเราไปเห็นโลกมา ได้เรียนรู้ ได้ใคร่ครวญ ได้ตอบอะไรบางอย่างกับสิ่งเหล่านี้ กับปัญหาแบบนี้ และพอเราเปิดประตูไปปุ๊บมันก็เปิดลึกอีก ลึกอีก ลึกอีกเลยล่ะ

ลึกขนาดแบบถอนรากถอนโคนว่าใครทำให้เราเป็นแบบนี้ ทำไมเราต้องเติบโตมาในลักษณะการคิดแบบนี้ มันมีประโยชน์แบบไหน มันเอื้อกับใคร แต่ตอนนี้เราสามารถพัฒนาหรือทำให้มันดีขึ้นได้อย่างไร มันอาจจะได้มุมมองที่ทำให้เรามองกว้างขึ้น ได้มองโลกในมุมมองของจักรวาล (หัวเราะ) ตอนนั้นเราอาจจะอยู่ในประเทศไทยแล้วเรามองมันในระดับระนาบเดียว แต่ตอนนี้เราก็ขึ้นไปมองแบบ Bird eye view ให้มากขึ้น”

บอลเล่าเสริมต่อว่า “ของเราก็คล้าย ๆ กับของพี่ยอดนะ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกถึงความแตกก็คือ งานที่เราทำมันบังคับให้ต้องทันยุคทันสมัย ในขณะที่เพื่อนบางคนชีวิตการทำงานของเขาทำให้หลาย ๆ เรื่องเขาเลิกตั้งคำถามไปแล้ว หรือเขาไม่ได้สนใจจะคิดมันต่อแล้ว บางเรื่องเขาก็ตกประเด็นไปเลย เพราะมันไม่ถูกชาเลนจ์ในการตั้งคำถามเลยในชีวิตประจำวันของเขา

แต่หนังพาไปมันแตะทุกเรื่อง ไปเจอเรื่องที่เราไม่เคยรู้ แล้วตัวเราเองก็ต้องตั้งคำถามในการเล่าเรื่องว่าจะเล่าแบบไหน เดี๋ยวต้องเจอประวัติศาสตร์เรื่องแบบนี้ ดำดิ่งเรื่องปัญหาการเมืองแบบนี้ เรื่องขนส่งสาธารณแบบนี้ หนังพาไปมันพาเราไปแตะทุกเรื่อง และหลาย ๆ เรื่องมันก็จะต่อไปเป็นจิ๊กซอว์ในเรื่องที่เราเคยเจอ โอ้ มันใช่สิ่งนี้ และเราก็เริ่มมองภาพกว้างขึ้น

สิ่งนี้เลยทำให้เรายังคุยกับหลาน ๆ ได้ คุยกับเด็กยุคใหม่ ๆ ได้ มันชาเลนจ์เราตลอดเวลาด้วยงาน วิธีการเล่าเรื่องเราก็ต้องตามมันให้ทัน และก็ขอบคุณตัวเองที่หนังพาไปมันพาเราไปแตะทุกเรื่องเยอะแยะเต็มไปหมด มันเหมือนได้พาเราอ่านหนังสือเล่มที่ปรกติไม่คิดจะหยิบอ่าน แต่งานมันพาเราไปแตะเราก็ต้องหยิบเรื่องนี้มาอ่าน 

สุดท้ายแล้วเราจะเชื่อมโยงมันได้เยอะขึ้น แล้วมันก็จะสนุกขึ้นเรื่อย ๆ ว่าประตูบานนี้ไปต่อกับประตูบานนั้น แล้วประตูบานนั้นก็ไปต่อกับประตูบานนั้น ๆ และก็จะตื่นเต้นว่าในอนาคตประตูบานไหนมันจะเชื่อมต่อกันอีก ถ้าเรายังทำงานนี้ต่อไปเรื่อย ๆ”

 

 

เมื่อถามถึงสิ่งสำคัญของการเดินทางของทั้งสองคน เขากลับนิ่งคิดแล้วพิจารณาถึงเรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านมา ก่อนที่ยอดจะพูดขึ้นว่า

“สิ่งสำคัญของการเดินทางสำหรับพวกเราน่ะเหรอ… (นิ่งคิด) ก็ต่อนยอนไปเรื่อย ๆ (หัวเราะ) 

คิดได้ตอนนี้ ตอบแบบเท่ ๆ เหมือนเราเป็นแก้วน้ำ เมื่อเราเดินทางเราจะพยายามเทน้ำออกให้เยอะที่สุดและจะไม่พยายามเป็นน้ำเต็มแก้ว นั่นก็จะเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับเรา

แต่เราจะไม่เทมันหมดนะอาจจะเหลือแค่ครึ่งเดียว อย่างน้อยมันมีพื้นที่อีกครึ่งหนึ่งที่พอจะให้เราใส่อะไรเข้าไปได้ แล้วได้เรียนรู้อะไรเพิ่มมากขึ้น แต่เราจะไม่เป็นน้ำที่ล้นแก้ว เราต้องเหลือพื้นที่ว่างให้ได้เรียนรู้หรือไปสัมผัสกับสิ่งเหล่านั้น หรือไปรับอะไรที่มันจะเกิดขึ้นข้างหน้าได้ และไปปรับตัวให้พร้อมในตรงนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าคนที่ไปแบบน้ำเต็มแก้วจะผิด เพราะถ้าเขาวางแผนได้ถูกต้อง เขาก็สามารถไปได้และเขาก็จะอยู่ของเขาได้

แต่สำหรับพวกเราคือทำภาชนะของตัวเองให้ว่างเข้าไว้ หรือมีพื้นที่ว่างให้ได้มากที่สุด เพื่อไปรับสิ่งใหม่ ๆ ไปเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ ข้างหน้า”

บอลเสริมต่อปิดท้ายว่า “จริง ๆ ถ้าเอาสิ่งที่พี่ยอดพูดมาอธิบายการวางแผนเที่ยวของเราก็จะใช้หลักการนี้โดยไม่รู้ตัว เช่น ตอนนี้เราจะไปเมืองนี้ เป็นโบสถ์ชื่อดังมากใคร ๆ ก็ต้องไป นั่งหาข้อมูลเปิดกูเกิลแมปมันพาเราไปเห็นทุกซอกมุมของสถานที่นั้นหมดเลย ทั้งภาพข้างหน้า ภาพข้างใน จนบางที่เราแทบจะไม่ต้องไปเลยก็ได้

ตอนนี้โลกมันไปไกลแล้ว พอเราวางแผนเที่ยวเราจะต้องยั้งตัวเองอยู่เสมอ อย่าไปรู้มันทั้งหมด ถ้าเราอยากไปจริง ๆ ค้นแค่พอให้เราเหลือพื้นที่ได้ไปว้าวกับมันจริง ๆ ตรงนั้น หรืออาจจะไม่ว้าวก็ได้นะ ไม่เป็นไร

แต่ถ้าเรารู้ทุกเรื่องทั้งหมด การเดินทางไปที่นั่นมันก็แค่เหมือนกับเป็นการยืนยันสิ่งที่เราเที่ยวในกระดาษเสร็จแล้ว เราก็แค่พาตัวเองไป แล้วยิ่งเราไปถ่ายรายการมันก็เหมือนกับไปเล่นละคร ไปถ่ายละครตรงนั้น หูย ว้าว พี่ยอด (ทำท่าทีตื่นตา) แต่จริง ๆ กูเห็นจากกูเกิลมาหมดแล้ว ซึ่งเวลามีสถานการณ์แบบนี้หน้ากล้อง มันก็จะถูกตัดทิ้งไปเสมอเลย เพราะเราเล่นไม่เนียน 

ดังนั้นเรื่องน้ำครึ่งแก้วก็เป็นสิ่งสำคัญที่ใช้ในการวางแผนเดินทางของเราจริง ๆ ซึ่งเราควรรู้แค่ครึ่งเดียว แล้วปล่อยให้เราไปเจอมันตรงนั้นและค่อยไปเล่าความจริง”