อายตา – ศรสวรรค์ ใจมั่น : เพราะทุกวันต้องออกไปตอแหล(เที่ยว)ถึงจะพบกับความตื่นเต้น

“ไปตอแหลกันค่าาาา”

น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความสดใส ร่าเริง พร้อมกับความตื่นเต้น แต่กลับเป็นประโยคที่ทำให้ใครหลายคนต้องตื่นตะลึงเพราะฟังดูไม่คุ้นหู พลางก็ตัดสินไปแล้วว่าเป็นคำพูดเชื้อเชิญอย่างไม่สร้างสรรค์ กลับกัน นั่นคือภาษาของชาวจ๊อกจ๊อกที่มีความหมายว่า ‘ไปเที่ยว’ โดย อายตา – ศรสวรรค์ ใจมั่น บิ้วตี้บล็อกเกอร์ชื่อดังของประเทศไทย นำมาใช้เปิดคลิปท่องเที่ยวในการไปต่างประเทศระยะยาวของเธอเอง

อายตาเล่าว่าทริปครั้งนี้เป็นผลมาจากการติดแหง็กระว่างช่วงโควิดในประเทศไทยกว่าสามปี พอหลังจากสถานการณ์คลี่คลายลง โลกกว้างก็เรียกร้องหาเธอ ซึ่งถือว่าเป็นความโชคดีหรือไม่ก็โชคชะตาเข้าข้าง บ้านในกรุงเทพหมดสัญญาเช่าได้ถูกจังหวะ เธอและแฟนหนุ่มต่างชาติจึงตัดสิ้นใจแพคกระเป๋าทิ้งประเทศกำลังพัฒนาข้ามฟากไปประเทศเจริญ

“มันเป็นช่วงที่บ้านเช่าของอายตาหมดสัญญาพอดี เลยคุยกับแฟนว่าถ้าสมมติเราจะไปเที่ยวสามเดือนห้าเดือนจะมาเสียค่าเช่าบ้านทำไมตั้งหลายหมื่น เราก็เทไปเลยสิคะ (หัวเราะ)”

“ตอนย้ายออกก็ทำคอนเทนต์เหมือนกับว่าย้ายของ ย้ายบ้าน ตอนนั้นคนก็คิดว่าอายตาจะย้ายไปอยู่เมืองนอกจริง ๆ ซึ่งอายตาก็ตอแหลด้วยแหละ (หัวเราะ) ตอแหลคนดูให้ตกใจเล่น ๆ แต่เปล่าหรอกนะ บ้านหมดสัญญาเช่าพอดี ย้ายของคืนบ้านให้เขาไป ซึ่งแพลนของอายตาคือเที่ยวเก้าเดือนที่ยุโรป เดี๋ยวพอกลับมาก็หาบ้านใหม่ได้เราจะมาเสียค่าเช่าบ้านทิ้งไว้ทำไม ออกไปตอแหลดีกว่า(หัวเราะ)”

 

 

เตรียมพร้อมก่อนตอแหล(เที่ยว)

หลังจากเตรียมตัวกว่าครึ่งปีในการทำวีซ่า เหตุเพราะห้าปีก่อนหน้าเธอทำพาสปอร์ตใหม่ถึงสองครั้งในปีเดียวกัน ซึ่งเกิดจากความหลงลืมของตัวเอง ทำให้อายตาขึ้นเป็นบัญชีผู้ต้องสงสัย แต่หลังดำเนินการกับทางกงสุลก็ผ่านเรื่องราวทั้งหมดมาได้อย่างราบรื่น แม้จะหลุดแผนการเที่ยวที่ตั้งใจไว้ในปี 2021 ก็ตาม

“พอได้วีซ่าท่องเที่ยวเราก็แพลนล่วงหน้าไว้ว่าจะอยู่วันไหนถึงวันไหน จะอยู่เมืองไหนถึงเมืองไหน เรียกได้ว่าแม็กซิมั่มเลย เขาให้เท่าไหร่เราก็หน้าด้านหน้าทนอยู่จนหมดเวลา (หัวเราะ)”

“แต่สิ่งที่อายตาต้องเตรียมตัวมากที่สุดคือต้องดูว่าช่วงที่เราไปประเทศนั้น ๆ มันเป็นช่วงฤดูอะไร โชคดีตอนไปยุโรปไม่ว่าจะเป็น เยอรมัน สวีเดน สเปน มันเป็นช่วงซัมเมอร์ แล้วซัมเมอร์ยุโรปมันก็ไม่ได้หนาวมากสามารถเอาเสื้อผ้าโป๊ ๆ ไปได้”

“แต่ต่อให้มันหนาวจริง ๆ เราก็ไปซื้อเอาที่นั่น บางคนเวลาไปต่างประเทศรู้สึกว่าเดี๋ยวมันจะหนาว ฉันจะต้องพกเสื้อกันหนาวเสื้อแขนยาวเสื้อหนา ๆ ไปพร้อมดีกว่า อายตาอยากจะบอกว่าพกไปแค่นิดเดียว แล้วไปซื้อเอาที่นั่นมันได้คุณภาพดีกว่า ยิ่งโดยเฉพาะใครที่ไม่เคยไปเที่ยวประเทศเมืองหนาวนะ วัฒนธรรมการแต่งตัวเสื้อแจ๊คเก็ตของเขามีเป็นล้านประเภท(เน้นเสียง) ถ้าใครไปเที่ยวเมืองหนาวครั้งแรกแล้วเดินอยู่ในดาวน์ทาวน์ แต่งตัวประหลาด ๆ อายตารู้เลยเนี้ยคนไทย”

“เข้าใจว่าเราอยู่ในประเทศเมืองร้อนเวลาเราดูหนังฝรั่ง เราก็จะ โอ้ยใส่แจ๊คเก็ตแบบนี้สวยเนอะ แต่บางทีเราไม่รู้หรอกว่ามันเป็นฤดูหนาว ฤดูใบไม้ร่วง หรือมันอาจจะเป็นซัมเมอร์ในวันที่ฝนตก แล้วเราก็จำเขามา แต่จริง ๆ แล้วมันมีกฎมีเกณฑ์เยอะมากเรื่องการแต่งตัว”

“อายตารู้สึกว่าเสื้อผ้าที่เราเตรียมไปอาจจะไม่ได้ใช้ เพราะช่วงฤดูมันไม่ตรงกัน เราอาจจะดูว่าประเทศนั้นเขาใส่อะไร แล้วเราก็ไปใส่แบบนั้น เสื้อกันหนาวมันไม่ได้เหมือนกันหมดมันมีทั้งกันหนาว กันลม กันน้ำ กันหิมะ คือถ้าคุณไปเที่ยวจะไปเจอหิมะมั้ย ถ้าไปแล้วไม่เจอหิมะก็ไม่ต้องใส่เสื้อที่กันหิมะก็ได้”

“ถึงแม้ว่าอายตาจะไปเที่ยวยุโรปหลายครั้ง หลายปี อายตาก็ยังแต่งตัวไม่เป็นเลย (หัวเราะ) ทั้งหมดมันเป็นสิ่งที่ต้องเตรียมตัว ต้องค้นหาข้อมูล เตรียมเสื้อผ้าไปนิดเดียวพอ ไปดูว่าคนที่นั่นเขาแต่งตัวกันยังไง เราก็ค่อยไปแต่งตามเขา”

 

 

เที่ยวไม่หรูอยู่อย่างคนในประเทศ

ยังคงมีหลายคน ต่างเข้าใจเสมอว่าการเที่ยวต่างประเทศส่วนใหญ่มักเป็นคนที่มีเงินทอง มีฐานรากทางการเงินที่แข็งแกร่ง บ้านรวย หรืออะไรต่าง ๆ นานาที่จะซัพพอร์ตให้ออกไปเจอโลก ไปเที่ยวในที่สวย ๆ อยู่หรูกินสบาย แต่กลับกันกับอายตา สิ่งที่เธอทำคือการเที่ยวอย่างประหยัด อาศัยเช่าบ้านพักเดือนต่อเดือนตามวีซ่าท่องเที่ยวของประเทศนั้น ๆ ที่กำหนดไว้

“คือจริง ๆ อายตาไม่ได้มีเป้าหมายในการเที่ยวขนาดนั้นนะ ถ้าเราสะดวกในการเที่ยวที่ไหนเราก็ไป แต่หลักการของอายตาคือเที่ยวไม่เวอร์ (ออกเสียง/ฟ/) ซึ่งต้องพูดตรง ๆ ว่าอายตาไม่ใช่คนที่มีเงินเยอะแยะ หรูหรา จะต้องกินมิชลิน จะต้องชอปแบรนด์หรู ๆ ไม่ใช่แบบนั้น เพราะเราเที่ยวหลายเดือนไม่งั้นเราก็หมดตูดพอดี (หัวเราะ)”

“อายตาจะเที่ยวแบบทั่วไป ทำกิจกรรมทั่วไป ที่พักก็จะพักทั่ว ๆ ไปไม่หรูมาก ซึ่งในระหว่างที่เราอยู่เมืองไหนอายตาก็จะหาเพื่อนใหม่ที่อยู่ในเมืองนั้น ไปทำความรู้จักกับเขา ซึ่งส่วนมากก็จะเป็นคนไทยที่อยู่ในเมืองนั้น หรือบางทีก็ไปจอยกิจกรรมกับคนในพื้นที่”

“เพราะอายตาบอกแฟนว่าไม่อยากเที่ยวอะไรสั้น ๆ เพื่อไปแค่ถ่ายรูปลงไอจีให้คนอิจฉา สุดท้ายเรากลับมาแต่มีแนวคิดแบบเดิม มีทัศนคติแบบเดิม มันทำให้เราไม่ได้อะไรจากการเสียเงินเที่ยวเลย”

“อายตาย้ำแฟนว่าเราอยากเที่ยวให้มันนานหน่อย ให้เราได้รู้จักกับประเทศนั้นมากขึ้น ให้รู้ประวัติศาสตร์ของเขา ให้รู้ว่าคนที่นั่นเขาเป็นคนแบบไหน เขาอยู่กันยังไง เลยเป็นแพลนในการเที่ยวยาวของเราในปีนี้”

ในมุมมองของอายตาการไปอยู่ในพื้นที่ไหนสักแห่งเป็นสิ่งที่น่าหลงใหล และน่าค้นหา อย่างน้อย ๆ ก็ได้เรียนรู้วัฒนธรรม สังคมประเทศที่เราอาศัย แม้จะอยู่อย่างชั่วคราวแต่ก็นานพอให้เราได้เจอมิตรภาพและสิ่งใหม่ ๆ ที่รออยู่ตรงหน้า และจะไม่มีวันหาเจอถ้ามาในคราบของนักท่องเที่ยว

“อายตารู้สึกว่าถ้าไปเที่ยวในแง่ของนักท่องเที่ยวโต๋ ๆ เต๋ ๆ เดินไปเองมันก็ได้ประมาณหนึ่ง แต่ถ้าเราได้ไปที่นั่นแล้วได้รู้จักกับคนในพื้นที่ที่อยู่มาหลายปี มันเหมือนเป็นทางลัดในการเรียนรู้ ซึ่งเราสามารถคุยได้ ถามได้ หรือถ้าเพื่อนใหม่ที่นั่นเขาว่างพาเราเที่ยวมันก็เหมือนได้เรียนรู้เร็วขึ้น ช่วยย่นระยะเวลาในการเรียนรู้ด้วยตัวเองไปเยอะ”

“เพราะบางทีการค้นข้อมูลเป็นภาษาไทยข้อมูลก็อาจจะไม่เยอะ เราก็ต้องกลับมาค้นเป็นภาษาอังกฤษ พอค้นได้ก็ใช้เวลานานในการอ่านในการตีความ แต่ในขณะเดียวกันพอมีคนเล่าให้เราฟัง เราก็จะแบบ เห้ย… ขนาดนี้เลยเหรอ (ทำเสียงตื่นเต้น)”

“หนึ่งมันทำให้สนุก สองมันรวดเร็วกว่าที่เขาได้รวบรวมประสบการณ์กว่าสิบปีที่เขาอยู่ที่นั่นมาเล่าให้เราฟัง ซึ่งสิ่งนี้มันทำให้เราไม่เหงา เพราะบางทีเราก็คิดถึงการพูดภาษาไทยกับใครสักคน พอได้คุยกับเพื่อนที่เป็นคนไทยมันก็ดีนะ แต่เพื่อนที่เป็นต่างชาติก็ดีเหมือนกัน คนแต่ละชาติก็จะมีสไตล์ที่ต่างกัน ทำให้เราสนุกได้เรียนรู้ไปอีกแบบหนึ่ง”

 

 

ความตื่นเต้นของเด็กสลัม

อายตาเล่าว่าทุกครั้งที่เธอได้ออกไปเที่ยวในสถานที่ใหม่ ๆ เหมือนพาเธอไปเปิดโลกเล็กจ้อยอันคับแคบที่เคยเห็นมาตั้งแต่เด็ก เธอมักจะย้ำเสมอว่าสิ่งที่เธอพบเจอเป็นความสุขที่ชีวิตก่อนหน้าไม่เคยมอบให้ และจะรู้สึกตื่นตา ตื่นใจ และตื่นเต้นทุกครั้งเมื่อได้ออกไปสัมผัสธรรมชาติของโลกกว้าง

“ก่อนออกไปเที่ยวจะรู้สึกตื่นเต้นอยู่แล้ว ตื่นเต้นเสมอ ไม่เคยมีวันไหนที่ตื่นมาแล้วไม่ตื่นเต้น เฮ้อ วันนี้ฉันจะไปตอแหลที่ไหนดีนะ วันนี้จะออกไปแรดที่ไหนดีนะ ทุกวันมันมีแต่ความตื่นเต้น (หัวเราะ)”

“เพราะแต่ละประเทศมันมีความกว้างใหญ่ไพศาล หรือแม้กระทั่งจุดเดิมที่เราเคยไปในคนละวันมันก็ไม่เหมือนกันแล้ว คนที่อยู่ตรงนั้นก็ไม่เหมือนกัน เมื่อวานเราอาจจะไปเจอมนุษย์ป้า วันนี้เราอาจจะไปเจอผู้ชายหล่อ มันก็ตื่นเต้นอยู่แล้ว ทำทุกวันให้ดีที่สุด”

“อย่างตอนขึ้นภูเขาไปดูใบไม้เปลี่ยนสีก็ตื่นเต้น (เน้นเสียง) กรี๊ดจนแฟนบอก เธอเบา ๆ หน่อยมันเสียงดังมาก อุ่ย (บีบเสียงเล็ก) ฉันขอโทษที่ฉันตื่นเต้นฉันไม่เคยเห็นใบไม้เปลี่ยนสี (หัวเราะ)”

เมื่อเจอเรื่องราวประทับใจ ความตื่นเต้นของคนเราก็ไม่เหมือนกัน แต่สิ่งเดียวที่ยังคงอยู่ในนั้นคือความไร้เดียงสาจากวัยเยาว์มันแฝงฝังอยู่ในตัวตนมาเสมอ ต่อเมื่อถึงช่วงชีวิตของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่

“ต้องบอกก่อนว่าอายตาพื้นเพมาจากบ้านที่จนมาก อายตาเคยอยู่สลัมตั้งแต่เด็ก ๆ อายตาก็ไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่าวันหนึ่งว่าอายตาจะมีโอกาสได้เรียนมหาลัยดี ๆ หรือว่าจะเรียนจบ จบมาได้ทำงานดี ๆ มีเงินเลี้ยงดูครอบครัว แล้วอายตาไม่เคยคิดจะได้เป็นหัวหน้าครอบครัว”

“อายตาภูมิใจเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา เพราะในทุก ๆ วันอายตาไม่ได้รู้สึกว่า (สูดหายใจเข้าลึกๆ) ฉันคืออายตาที่คนฟลอโล่หนึ่งล้านคน แต่อายตารู้สึกว่าภูมิใจว่าเราพยายามขนาดนี้เพื่อให้ได้ขยับฐานะของครอบครัวเรา ให้ตัวเราได้เจออะไรที่มันใหม่ ๆ”

“ในทุก ๆ วันอายตาก็พยายามที่จะมีความสุขกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ถึงแม้ว่าบางคนอาจจะมองว่า อุ่ย เธอชีวิตเธอดีเธอได้ไปเที่ยวตั้งหลายเดือนเธอก็ต้องมีความสุขอยู่แล้ว แต่อายตาขอพูดตรงนี้ว่าเวลาเที่ยวนาน ๆ มันมีภาวะเครียดนะ ซึ่งอายตามีภาวะ Mental Breakdown บ่อยมาก”

“เพราะว่าบางครั้งช่วงเวลาคุยงานกับทีมงานมันยาก หรือบางทีก็มีปัญหาเรื่องธุรกิจ กับมีหลาย ๆ เรื่องต้องจัดการในเวลาเดียวกัน ซึ่งไหนจะเรื่องภาษาวัฒนธรรม อาหารที่มันโคตรจะไม่อร่อย เราก็พยายามที่จะมีความสุขในทุกวันกับเรื่อง ๆ เล็ก ๆ น้อย ๆ”

“อย่างที่บอก ตื่นขึ้นมาก็รู้สึกตื่นเต้นว่าวันนี้จะไปตอแหลไหนดีนะ แค่ได้ไปเดินวอร์มาต ไปเดินทาเกตก็เลิศ อุ่ย (คุยกับตัวเอง) วันนี้ฉันจะไปเดินทาเกตฉันจะไปดูว่ามันมีอะไรถูก ๆ เลิศ ๆ บ้าง วันนี้ฉันจะไปเดินร้านขายของถูกว่ามันมีอะไรถูก ๆ แค่นี้เราก็มีความสุขแล้ว การมีความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ กับทุก ๆ วัน มันทำให้เราภูมิใจกับชีวิตเรามากขึ้น แต่ถ้าวันไหนโชคดีได้กินร้านที่มันหรูหน่อย หรือไปเที่ยวที่เวอร์ ๆ มันก็จะยิ่งมีความสุขมากกว่าเข้าไปใหญ่”

 

 

สูดหายใจอย่างเต็มปอด

ตลอดระยะเวลาการเที่ยวกว่าหกเดือนที่ผ่านมา แม้ว่าอายตาจะชอบเรียนรู้ผู้คนในประเทศต่าง ๆ ที่เธอไปเยี่ยมอาศัย จากการเข้าสังคม ปฏิบัติตัวตามวัฒนธรรมของคนในพื้นที่ เรียนรู้วิถีชีวิตของผู้คน แต่สิ่งหนึ่งที่เธอให้ความสนใจอีกอย่างคือเรื่องธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

“อายตาไม่ได้เที่ยวเชิงธรรมชาติจ๋า ๆ นะ ต้องบอกก่อนว่าอายตาเป็นคนง่าย ๆ พยายามไม่สร้างปัญหาอะไรกับคนรอบข้างเรา เพราะบางทีต้องไปถ่ายงานกับอินฟลูท่านอื่น แล้วถ้าเราเป็นคนที่มีปัญหาในชีวิต ฉันจะต้องอย่างนั้น ฉันจะต้องกินอย่างนี้มันจะร่วมงานกับคนอื่นยาก เราก็เลยทำตัวเองให้มันง่ายที่สุด ไม่ว่าใครจะพาเราไปเที่ยวที่ไหน จะธรรมชาติหรือเป็นเมืองอายตาก็มีความสุข”

“แล้วอายตาก็รู้สึกว่าในชีวิตเราโตมากับตึกสูง เราโตมากับมลภาวะ เราโตมากับรถติด แล้วพอเรามาเจอธรรมชาติ เห้ย นี้เหรอคือธรรมชาติจริง ๆ (ทำเสียงตกใจ) เพราะว่าธรรมชาติที่อายตาเคยเห็นคือสวนหลวง ร.9 สวนลุมพินี มันเป็นธรรมชาติปลอม มันเป็นธรรมชาติที่คนสร้างขึ้นมา แล้วมันก็ไม่ได้ใหญ่โต เราไม่ได้เห็นระบบนิเวศที่นั่น เราไม่ได้เห็นไลฟ์สไตล์ของการใช้ชีวิตที่นั่น มันไม่มีม้า ไม่มีชาวสวน ชาวนาให้ได้เราเห็น”

“อายตาไม่มีโอกาสได้ไปต่างจังหวัดมากนัก ด้วยความที่แม่อายตามาทำงานที่กรุงเทพฯเราไม่ได้มีญาติพี่น้องเยอะแยะ พอเราไปเห็นธรรมชาติของจริง เห้ย นี่เหรอ คือหญ้า คือมีม้า ทำไมฝรั่งเลี้ยงม้า เขาเลี้ยงไปทำอะไร แฟนก็บอกว่าเหมือนคนไทยที่เลี้ยงวัวเลี้ยงควาย อ๋อเข้าใจละ (หัวเราะ)”

“อายตาเลยรู้สึกภูมิใจกับสิ่งที่เราไม่เคยเห็น ทั้ง ๆ ที่มันเป็นสิ่งที่ธรรมดามาก ธรรมดาสุด ๆ ฝรั่งก็จะงงว่าเธอตื่นเต้นอะไร ซึ่งเราไม่เคยเห็นเราก็แฮปปี้”

“จะบอกว่าครั้งแรกที่อายตาไปเที่ยวยุโรปนะ อายตาพึ่งได้รู้จักคำว่าสูดอากาศหายใจเต็มปอดครั้งแรกในชีวิต”

“เราอยู่กรุงเทพฯมาตลอดจนอายุเกือบจะสามสิบ พอได้ไปเที่ยวยุโรปครั้งแรก เราไม่เคยรู้มาก่อนว่าเราไม่เคยได้สูดอากาศหายใจได้แบบ (ทำท่าสูดหายใจเข้าลึก ๆ) อย่างเนี้ย”

“แต่พอเราหายใจที่กรุงเทพฯก็จะแค่ เข้า ออก เข้า ออก แล้วบางทีสูดเข้าไปก็ไม่สดชื่น ไม่รู้ว่าพูดไปจะเข้าใจหรือเปล่า แต่ถ้าคนที่เคยไปในที่ที่มลพิษมลภาวะน้อย เขาจะเข้าใจว่าการสูดหายใจได้เต็มปอดจริง ๆ เป็นแบบไหน”

นอกจากมลภาวะทางกาศยังรวมถึงสภาพภูมิอากาศที่แตกต่างกัน เนื่องจากอากาศในประเทศไทยมีความชื้นจึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การหายใจลำบาก ถึงกระนั้นเรื่องท้องฟ้าก็เป็นอีกเรื่องที่อายตาได้เอ่ยถึง

“ตอนที่เราไปต่างประเทศครั้งแรก มันไม่มีควัน ไม่มีฝุ่น พอเรามองไปบนท้องฟ้า มันโปร่ง มันไม่เป็นเทา ๆ เหมือนบ้านเราที่เป็นขมุกขมัว”

“ตอนเด็ก ๆ เคยเห็นรูปวาดของฝรั่งยุคเรเนซองส์ที่เขาจะชอบวาดท้องฟ้า มีก้อนเมฆเป็นก้อน ๆ แล้วท้องฟ้าเป็นสีฟ้า ๆ ตอนเด็ก ๆ ดูรูปแล้วท้องมองฟ้าของจริงในกรุงเทพฯไม่เห็นเป็นแบบนี้เลย ฝรั่งมันตอแหลนี่หว่าทำไมมันวาดเวอร์”

“แต่พอมาต่างประเทศมองดูฟ้า อีดอก (ทำเสียงตะลึง) เหมือนในภาพวาดเลย ท้องฟ้าจริง ๆ เป็นแบบนี้ แต่ท้องฟ้าประเทศไทยไม่มี เพราะมลภาวะเยอะมากมันเป็น PM2.5 แล้วท้องฟ้าไม่เคยโล่ง ไม่เคยเห็นเมฆเป็นก้อน ๆ ขาว ๆ พอมาอยู่เมืองนอกแล้ว มึงฝรั่งไม่ได้โกหกกู มันเป็นแบบนี้จริง ๆ”

“เห็นมั้ยแม้กระทั่งท้องฟ้ามันทำให้เรามีความสุข ทำให้เราแฮปปี้ได้ ทำให้เราภูมิใจกับการเที่ยวธรรมชาติมากขึ้น”

“อีกอย่างฝรั่งเขาจะมีความตระหนักรู้ในเรื่องของการดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อม และเรื่องของธรรมชาติ หรือว่าเรื่องจิตสาธารณะค่อนข้างเยอะ มันก็เลยทำให้เราเกิดการเปรียบเทียบในบ้านเรา กับทำให้อายตายิ่งเคารพในเรื่องของสิ่งแวดล้อม และธรรมชาติมากขึ้นจริง ๆ”

 

 

เพราะการเที่ยวคือพลังของแรงบันดาลใจ

จุดมุ่งหมายของการออกไปท่องเที่ยวของแต่ละคนแตกต่างอย่างสิ้นเชิง บ้างก็เพื่อต้องการพักผ่อนจากงานรุมเร้าล่วงล้ำชีวิตส่วนตัว บ้างก็เพื่อความสนุกในที่ใกล้ ๆ  บ้างก็เพื่อหาความท้าทายใหม่ ๆ ให้กับชีวิตเดียวที่มี ณ ตอนนี้ แต่สุดท้ายหลายคนก็กลับได้แรงบันดาลใจจากการเที่ยวมาพัฒนาต่อยอดตัวเอง

“แรงบันดาลใจจากการเที่ยวได้เยอะมาก (ลากเสียงยาว) เวลาอายตาไปอยู่ในสังคมไหนอายตาก็จะชอบไปศึกษา แล้วก็พยายามลองทำสิ่งที่เขาทำดู อย่างที่ไปยุโรปสามเดือนจะไม่ค่อยแต่งหน้า เพราะเขาจะเป็นสายสวยแบบธรรมชาติแต่งหน้าน้อยมาก เครื่องสำอางก็จะไม่ค่อยมีสีสันต์ เป็นงานผิวกุ๊ก ๆ หน่อย ๆ แล้วพวกเครื่องสำอางก็จะต้องมีโลโกที่เป็นผลิตภัณฑ์ ออแกนิค ใช้แพคเกจแบบรีไซเคิล ซึ่งจะเป็นที่นิยมมาก”

“แต่ตอนอายตาอยู่ไทยต้องแต่งหน้า ชะนีไทยต้องทารองพื้นต้องเขียนคิ้ว ต้องเขียนอายไลน์เนอร์ ต้องทาปาก แต่ถ้าวันไหนไม่แต่งหน้าก็จะดูไม่ค่อยสุภาพ อย่างเวลาไปทำงานก็ต้องแต่งหน้า อันนี้คือเป็นบิ้วตี้สแตนดาร์ดของคนเอเชีย”

“พอไปเห็นสาวยุโรปคือหน้าโล้นไม่ไหว ทำไมพวกเธอไม่แต่งหน้า เขาก็ตอบกลับว่าเราจะต้องสวยจากภายใน ทุกคนมีความสวยเป็นของตัวเอง ไม่ต้องเติม เวลาแต่งก็จะแต่งน้อยส่วนอายตานั้นไม่ได้ พวกเธอมันน่าเบื่อ ฉันชอบแต่งหน้า (บีบเสียงเล็กหัวเราะ)”

“แต่ตอนนี้มาอเมริกา ชะนีอเมริกันก็มีขนตาแบบ ปัง (เน้นเสียง) ปัดคอนทัวร์แบบ ปัง โอโหแต่ละคนแต่งตัวนมแบบบึ้ม ก้นแบบจึ้ง เล็บก็คือยาว (ลากเสียงหัวเราะ) คือที่สุด มันก็ทำให้เราคิดว่าทำไมคนอเมริกันแต่งหน้าเยอะกว่าคนยุโรป ซึ่งเขาก็จะมีความสวยในแบบของเขา”

“ส่วนเวลาพูดเขาก็จะมีสำเนียงที่ต่างกัน oh my god you so pretty (บีบเสียงเล็ก) มันก็จะมีอะไรต่าง ๆ ที่ทำให้เรารู้สึกว่า โอ้ ทำไมเขาเป็นแบบนี้ (ตื่นตา) เขาเป็นแบบนี้ก็เพราะแบบนี้นี่เอง”

“พอมาอเมริกาเราก็ต้องแต่งหน้าเยอะหน่อย เพราะถ้าเราแต่งหน้าเบาปุ๊บเราก็จะเป็นอีจืด อีไข่ต้ม เป็นอีชะนีเอเชี่ยนที่แต่งหน้าจืด แต่พออยู่ยุโรปถ้าแต่งเยอะเขาก็จะ อุ่ย แต่งไปไหนอะ อุ่ย ติดขนตาไปไหนอะ (ทำเสียงกระซิบเหมือนนินทา) ซึ่งมันดูเยอะไปหมดคนก็จะมอง อายตาก็เลยต้องศึกษาว่าคนที่ไหนเขาแต่งหน้าแบบไหน แต่งตัวแบบไหน แล้วก็ทำตามเขา (หัวเราะ)”

“แต่จริง ๆ ถ้าเราเป็นตัวของตัวเองแล้วรู้สึกว่าฉันแต่งหน้าแบบนี้ ไปที่ไหนฉันก็จะแต่งแบบนี้ มันก็ได้นะ เพราะไม่มีใครเดือดร้อนจากการกระทำนั้นในการเป็นตัวของตัวเอง”

“บางวันอายตาก็แต่งหน้าแต่งตัวเยอะเหมือนกัน เพราะอยากถ่ายรูป อยากถ่ายคอนเทนต์ ซึ่งในฐานะบิ้วตี้ครีเอเตอร์ถ้าเราไม่แต่งหน้าเลยนาน ๆ มันลืมนะ อายตาเคยเป็นตอนที่อยู่เยอรมันเดือนกว่าไม่ได้แต่งหน้าเลย พอแต่งอีกทีทำไมการแต่งหน้ามันยากจัง แต่ก่อนฉันแต่งแบบเร็ว แบบด่วน แบบสับ ก็เลยพยายามลุกขึ้นมาแต่งบ้าง เพราะมันเป็นสกิลที่ขึ้นตรงกับงานของเราโดยตรง”

นอกจากแรงบันดาลใจที่ได้รับเพื่อมาปรับใช้ในการทำงานของตัวเธอแล้ว สิ่งสำคัญที่ได้จากการท่องเที่ยวสำหรับอายตาก็คงหนีไม่พ้นในเรื่องการเจอโลกเหมือนคนอื่น ๆ

“ฟังดู cliché มากเลยนะ ใคร ๆ เขาก็พูดกัน การเที่ยวคือการเปิดโลก (หัวเราะ) แต่มันก็จริงนะ ด้วยความที่อายตาเป็นเด็กจน ๆ คนหนึ่ง เคยเรียนโรงเรียนวัด เคยเรียนโรงเรียนทั่วไป ไม่เคยได้แลกเปลี่ยนต่างประเทศ มันก็ถือว่าเป็นการเปิดโลกอย่างยิ่งใหญ่เหมือนกัน”

“อีกอย่างอายตารู้สึกว่าการที่เป็นอินฟลูมีผู้ติดตามเป็นล้าน เราจะใช้พื้นที่ตรงนี้ให้เป็นประโยชน์อย่างไร ถ้างั้นเวลาเราไปเจออะไรเก๋ ๆ ไปเจออะไรที่ดี ๆ ก็เอามาบอกต่อ อย่างอายตาทำคอนเทนต์ไปเดินวอลมาร์ตก็เหมือนห้างบ้านเรา แต่เป็นซูเปอร์ถูก ๆ เราไม่เคยเห็นก็ทำใหคนติดตามมาดู”

“ถึงแม้ว่ามันอาจจะเป็นความรู้ใหม่สำหรับเรา แต่ไม่ได้ใหม่สำหรับคนอื่น เพราะอาจจะมีบางคนไม่เคยได้เห็น ไม่เคยได้เที่ยว แล้วเขาอยากที่จะรู้เหมือนกันว่าซูเปอร์ที่เมืองนอกเป็นยังไง หรืออะไรง่าย ๆ โง่ ๆ เช่น กินเคบับที่เยอรมันนี ซึ่งเคบับบ้านเรามีมั้ย มี (หัวเราะ) แต่มันไม่เหมือนที่เยอรมัน”

“อายตาก็เลยพยายามเอาสิ่งที่รู้ที่เห็นมาถ่ายทอดต่อ เพราะว่าตอนที่เราเด็ก ๆ ตอนที่เราไม่ได้มีโอกาส เราก็ดูจากสื่อเหล่านี้แหละที่ทำให้ได้เรียนรู้ ถึงแม้ว่าสมัยก่อนมันไม่มีคอนเทนต์ครีเอเตอร์ แต่อายตาก็ดูพวกบิ๊กซีนีม่ามานะ (หัวเราะ)”

“กลับมาที่ยุคนี้ เด็ก ๆ ยุคใหม่ มีอินเทอร์เน็ตดูสื่อจากเรา เราก็พยายามเอาอะไรที่มันเก๋ ๆ ดี ๆ มาบอกต่อ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่อายตารู้สึกว่าอายตาพอจะทำได้ และอันไหนที่รู้สึกว่าเป็นแนวคิดที่มันน่าจะใช้กับคนไทย เผื่อว่าคนไทยจะได้เอาไปคิดต่อหรือนำไปใช้ อายตาก็ยินดีที่จะนำสิ่งนั้นมาบอกต่อ มาเล่าให้กันฟัง”