NamfonStories ความสำเร็จที่ได้ ไม่ใช่แค่เทพช่วย

 

.

ในปัจจุบันวงการมูเตลูเรียกได้ว่ามาแรงแบบสุดๆ ไม่ว่าคุณจะเกิดวันอะไร เสื้อสีมงคลสีอะไร ฤกษ์งามยามดีต่างๆ รวมไปถึงขอพรที่ไหนถึงได้ผลดีที่สุด

สำหรับเธอคนนี้เองก็เช่นกัน แอร์โฮสเตสสาวจากสายการบิน Emirates น้ำฝน ศิริกุล หรือที่หลายๆคนจะรู้จักเธอคนนี้จาก I Told พระแม่ลักษมี About… ผ่านช่องทางติ๊กต๊อก NamfonStories เรียกได้ว่าไม่ว่าจะเรื่องของงาน เรื่องของการใช้ชีวิต และเรื่องของการมูเตลูล้วนไปสุดทุกทาง 

วันนี้ TravelNews พาทุกคนมาทำความรู้จักกับคุณน้ำฝนให้มากขึ้น

.

  • จุดเริ่มต้นของการเป็นนักเล่าเรื่อง

จุดเริ่มต้นการเป็นนักเล่าเรื่องของคุณฝนนั้นคือเริ่มจากการที่คุณฝนเป็นคนชอบเล่า ชอบแชร์ ชอบที่จะแบ่งปันประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ของตัวเองให้กับคนอื่น ซึ่งคุณฝนก็ได้เล่าถึงที่มาของ NamfonStories ไว้ด้วยว่า

“ช่วงที่ฝนสมัครแอร์หลายสนามมากๆ ไม่ว่าจะเป็นทั้งสายในไทยหรือสายนอก พอเราผ่านในจุดตรงนั้นมา มีทั้งความผิดหวัง ความสมหวัง เราก็มาลงบันทึกไว้ เป็นไดอารี่ของตัวเอง เลยใช้ชื่อ NamfonStories เริ่มจากในเฟซบุ๊กของตัวเองก่อน จากนั้นเราก็รู้สึกว่าพอผ่านเฟซบุ๊กเรา ก็มีแค่เพื่อนเราที่รู้เราก็ลองเขียนให้มันเป็นรูปแบบมากขึ้น ก็เลยไปเริ่มต้นเขียนที่ WordPress แล้วก็ใส่รูปภาพ ใส่เรื่องราว ว่าการสัมภาษณ์เป็นยังไง การเตรียมตัวอะไรยังไงต่างๆ แล้วหลังจากนั้นเนี้ย เราก็ค่อยๆขยับขยาย มาสู่เพจเฟซบุ๊กที่จริงจังมากขึ้น”

.

แต่ความสำเร็จนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย คุณฝนเล่าถึงในตอนที่สมัครแอร์โฮสเตสไว้ว่า “ฝนสมัครแอร์มาแล้ว ถ้าโดยเฉพาะ Emirates คือ 7 ครั้ง เพราะฉะนั้นคือมันก็ต้องตกรอบมาแล้ว 6 ครั้ง ทุกครั้งที่ตกรอบ ฝนจะมองเป็นด้านบวกเสมอ ถ้าเราพลาดครั้งนี้มันจะต้องมีอะไรที่มันยังไม่ใช่สิ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เราเตรียมตัวมาไม่ดีพอนะ เราต้องรู้ตัวเองว่าพลาดอะไร คนเราถ้ารู้ว่าเราพลาดอะไรและแก้ได้ทัน มันจะสามารถทำให้คุณพัฒนาตัวเอง ได้ดีขึ้นในครั้งถัดไป ก็เลยมานั่งตกผลึกกับตัวเอง เช่น การสอบของสายการบิน Emirates อะค่ะ เขามีรอบ CV Drop หมายความว่าไปยื่น เป็นด่าน 3 วิ ชอบไม่ชอบ จบ แทบจะไม่ได้ถามเลย แล้วก็รอบถัดไปเนี้ย เป็นการพูดคุยในกลุ่ม Group Discussion อันนี้ภาษาอังกฤษเราก็ไม่ได้ ก็เลยตกรอบไป ก็กลับมาฝึกภาษาอังกฤษ ลงเรียนภาษาอังกฤษเพิ่ม คือฝนมองทุกๆรอบที่ไม่ได้สมหวัง เป็นแรงผลักดัน เป็นแรงบันดาลใจเสมอ ครั้งต่อไปฉันจะต้องทำให้ดีขึ้น ต่อไปจะต้องได้ แต่เราพลาดจุดไหน ต้องมาวิเคราะห์ตัวเองก่อน และก็เลือกที่จะแบ่งปันเรื่องราวทั้งในตอนที่ผิดหวัง แล้วก็สมหวังค่ะ”

  • เส้นทางจากครูการงานอาชีพสู่แอร์โฮสเตส

หลายๆคนอาจจะทราบว่าคุณฝนนั้นเรียนจบคณะศึกษาศาสตร์ แต่หลายๆคนก็อาจจะยังไม่ทราบว่าจบจากสาขาคหกรรมศาสตร์ศึกษา หรือที่เราทุกคนรู้จักคือครูวิชาการงานอาชีพ มาถึงจุดนี้บอกได้เลยว่าทุกคนต้องมีคำถามเกิดขึ้นมาว่าแล้วเบนเข็มมาทางสายแอร์โฮสเตสได้อย่างไร ซึ่งคุณฝนก็เล่าว่าตัวคุณฝนนั้นชอบที่จะเห็นรอยยิ้มของเด็กๆ แต่รู้สึกว่าตัวเองนั้นไม่ได้เหมาะกับการเป็นครู เพราะเป็นคนที่มีความคิดนอกกรอบมากๆ เป็นคนที่ชอบ Adventure แล้วคุณฝนก็เกิดคำถามที่ทำให้คุณฝนนั้นค้นพบอาชีพที่ตัวเองชอบ

 “มันจะมีงานไหนหรือมีอะไรที่จะทำให้เราได้ออกไปผจญภัย หรือว่าไปท้าทายตัวเองมากขึ้น ก็เลยกลับมาถามคุณแม่ ซึ่งคุณแม่อยากให้เป็นหมอ คือลูกสาวก็ใช่ว่าจะหัวดีขนาดนั้น ก็มาถามคุณแม่อีกที ถ้าไม่ใช่หมอ อยากให้เป็นอะไร แม่ก็บอกว่า แม่ชอบเที่ยว แต่ไม่มีโอกาสได้เที่ยว ก็เลยอยากจะเห็นลูกได้ไปเที่ยว ได้ไปบิน ได้ติดปีก เราก็โอเค

อาชีพแอร์โฮสเตสก็เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่น่าสนใจ ได้ใช้ภาษา ได้ออกไปท้าทายตัวเอง ได้เจออะไรใหม่ๆ เหมาะกับคนขี้เบื่ออย่างเรา ฝนก็เลยโอเค งั้นลุยในสายแอร์โฮสเตสเลยละกัน แล้วก็กลายเป็นว่าพอมานั่งย้อนกลับไปดูตัวเองอีกที ก็รู้สึกว่าเราเป็นคนโชคดีที่ได้เจองานที่ชอบ ได้เจองานที่ใช่ แล้วตื่นมาทุกวันมีความสุขทุกครั้งที่ได้ไปทำงานค่ะ”

.

แต่แน่นอนว่าชีวิตคนเราไม่ได้ง่ายมากขนาดนั้น เพราะว่าก่อนที่คุณฝนจะได้ติดปีกนั้น ก็ได้ผ่านสนามสอบหลากหลายสนาม และมีการประกวดที่ทำให้ความฝันของคุณฝนนั้นเป็นจริง คือการประกวดรายการ The Angel ซีซั่น 2 

รายการ The Angel นางฟ้าติดปีก เป็นรายการค้นหาแอร์โฮสเตสของสายการบินนกแอร์ โดยทำในรูปแบบของรายการโทรทัศน์ และผู้ที่ชนะการประกวดจะได้เป็นนางฟ้าติดปีกหรือก็คือได้เป็นแอร์โฮสเตสนั้นเอง

คุณฝนได้เล่าว่าในการประกวดนี้ คุณฝนค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองจะได้ เพราะว่าคุณฝนนั้นดูว่ารายการว่ารายการค้นหาคนแบบไหน ซึ่งคุณฝนเป็นสายประกวดอยู่แล้ว และตัวคุณฝนมีความสดใสร่าเริง และมีความสามารถพิเศษ ซึ่งสิ่งที่คุณฝนเลือกจะแสดงคือ การร้องเพลงฉ่อย ขับเสภา รวมไปถึงมีเรื่องราวในชีวิตที่เป็นจุดเด่น และผลก็ออกมาตามที่คุณฝนคิด เพราะว่าคุณฝนได้อยู่ใน 16 คนสุดท้ายของรายการ และได้ติดปีกเป็นแอร์โฮสเตสของสายการบินนกแอร์

  • ประสบการณ์การทำงานเป็นแอร์โฮสเตสครั้งแรก

“ไฟลต์บินแรกในชีวิตจำได้เลยว่าไปสนามบินอุดรธานี เป็นไฟลต์ที่สั้นมาก 35 – 45 นาที ก็ถึงอุดรแล้ว ตอนนั้นรู้สึกว่ามันตื่นเต้นจังเลย ในการทำไฟลต์แรก เขาก็ให้ไปนั่งใน Cockpit  เพราะว่า Position มันเกิน แล้วเราไปเป็นตัวเสริม

วิวแรกที่ได้เห็นในการเป็นแอร์ก็คือวิวของจังหวัดอุดรธานี มันตื่นเต้น ถ้าได้ย้อนกลับไปมันก็ยังคงเป็นความรู้สึกดีๆ ต่อให้มันจะเป็นไฟลต์บินในประเทศ แต่ฝนรู้สึกว่ามันคือจุดเริ่มต้นของการเป็นแอร์โฮสเตสจริงๆ”

.

แต่การได้เป็นนางฟ้าติดปีกของสายการบินนกแอร์นั้น เป็นเพียงครึ่งหนึ่งของความฝันในเส้นทางอาชีพนี้ของคุณฝน เพราะจริงๆแล้วความฝันที่คุณฝนอยากจะทำมากที่สุดคือการได้ออกเที่ยวรอบโลก ซึ่งทางสายการบินนกแอร์นั้นเป็นสายการบินภายในประเทศ ดังนั้นคุณฝนจึงตัดสินใจลาออกเพื่อทำตามความฝัน แล้วไปสมัครที่สายการบิน Emirates และ Qatar Airways

ซึ่งคุณฝนได้เล่าว่า “ก่อนที่จะสมัครสายอินเตอร์ เราก็มีการฝึกซ้อมด้วยตัวเองมาระยะหนึ่ง มันแอบเป็นข้อเสียในข้อดี เราเป็นคนมั่นใจ แต่บางทีมั่นใจมากจนเกินไป จนเราไม่ได้รู้ว่าจริงๆแล้วไกด์ไลน์ที่มันถูกต้องจริงๆแล้วคืออะไร ฝนลองด้วยตัวเอง ลองผิดลองถูก จนบางครั้งเรารู้สึกว่า อาชีพแอร์ มันมีเวลาจำกัดนะ ถ้าเราจะลองไปเรื่อยๆ วันหนึ่งมันจะ Exceeding Limit ที่เขาไม่รับเราแล้ว เลยตัดสินใจไปสมัครเรียนที่สถาบันสอนแอร์ ฝนรู้สึกว่าการไปติวมันเป็นการหาเข็มทิศ ให้กับตัวเอง คนเราเก่ง ใช่ แต่ถ้าคุณขับรถแบบไม่รู้ทิศทางอะ มันก็ไปไม่ถูก มันก็ไปไม่ถึงจุดหมายสักที พอฝนได้ไปเรียน ไป Brush Up ตัวเองก็เลยได้ติด Qatar airways”

ในตอนแรกนั้นก่อนที่คุณฝนจะได้ไปอยู่ที่ Qatar Airways คุณฝนเคยสมัครสายการบินในฝัน ซึ่งก็คือสายการบิน Emirates ในตอนนั้นสายการบินนี้ได้มาเปิดรับสมัครที่ไทย และประเทศเพื่อนบ้านรอบๆ คุณฝนเรียกได้ว่าบินไปทุกที่ เพราะคุณฝนมีความคิดที่ว่า ต้องเอาตัวเองไปอยู่ในที่ที่โอกาสมันจะมาถึง และคุณฝนก็ตกรอบไปถึง 6 สนามด้วยกัน เพราะว่าในตอนนั้นเอนเนอร์จี้ของคุณฝน อาจจะยังไม่เข้ากันกับสายการบิน Emirates จึงได้ทำงานที่ Qatar Airways 1 ปี ก่อนที่จะได้ติดปีกที่สายการบิน Emirates นั้นเอง

.

  • ความแตกต่างของสายการบินระดับประเทศและระดับโลก

เป็นเรื่องที่หลายๆคนอาจจะสงสัย เพราะในการทำงานแต่ละที่ ย่อมมีความแตกต่างกันไม่มากก็น้อย ซึ่งคุณฝนก็ได้บอกว่า ขอแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือความแตกต่างของสายการบินนกแอร์และสายการบินตะวันออกกลาง และ ความแตกต่างของ Qatar Airways และ Emirates

ซึ่งความแตกต่างของสายการบินนกแอร์ กับ สายการบินตะวันออกกลางนั้น คือเรื่องของการใช้ชีวิต ตอนที่อยู่นกแอร์นั้นเราต้องตื่นนอนเอง เดินทางเอง ทำงานกันแบบพี่น้อง ซัพพอร์ตช่วยเหลือกัน เพราะว่าบริษัทเป็นบริษัทเล็กๆ จำนวนคนไม่ได้เยอะ แต่พอมาสายตะวันออกกลาง เป็นสายการบินที่ใหญ่ขึ้นมา และด้วยความที่เราไปทำงานต่างบ้านต่างเมือง เขาก็จะมีรถรับส่ง การทำงานก็จะไม่ได้ใกล้ชิดแบบของสายการบินนกแอร์แต่ในสายตะวันออกกลางนั้น เป็นบริษัทใหญ่ บางคนได้บินด้วยแค่ครั้งเดียว ก็เลยจะไม่ได้สนิทกัน 

.

ในเชิงของการทำงานมันเห็นได้ชัดว่า เวลามีปัญหาในการทำงาน เราสามารถ Speak up ได้ สามารถพูดออกไปได้ แชร์ข้อมูลกันได้มากกว่า นี่คือการทำงานในสังคมที่ Multicultural 

มาถึงความแตกต่างของ Qatar Airways กับ Emirates ใน Qatar Airways จะมีคนเอเชียทำงานอยู่ค่อนข้างเยอะ จะค่อนข้าง Conservative แล้วลูกเรือเนี้ยค่อนข้างจะขยันขันแข็งในการทำงาน

ต้องยอมรับเลยว่าคนเอเชียเป็นคนที่ทำงานสุดใจมาก แต่ในสายการบิน Emirates นั้น เพื่อนร่วมงาน จะเป็นคนที่เป็นฝั่งยุโรปมากกว่า หรือว่าเป็นอาราบิกที่เป็นแขกขาว การทำงานเขาก็จะชิลๆสบายๆ

.

“ไม่ว่าเราจะไปอยู่ไหน ฝนว่าไม่ใช่แค่สายงานแอร์โฮสเตส ไม่ว่าเราจะไปอยู่ที่ไหนเราก็ต้องเจอสังคมที่หลากหลายอยู่แล้ว เราต้องหาเวย์ของเรา ไม่ใช่ว่าเราจะขี้เกียจไปเลยก็จะถูกเขม่นถูกไหม หรือว่าจะขยัน แบบฉันทำได้ทุกอย่าง เราก็จะแบกรับภาระหน้าที่ทุกอย่าง เราจะต้องบาลานซ์ แล้วก็ต้องดูว่าเราจะอยู่ยังไงให้มีความสุข อันนี้เป็นสิ่งหนึ่งที่อยากจะแนะนำให้ใครหลายๆคน”

.

  • การปรับตัว เมื่อต้องอยู่ไกลบ้าน

หลายๆคนที่ติดตามคุณฝนจะทราบกันดีว่าคุณฝนกับคุณแม่นั้นสนิทกันมากๆ เมื่อคุณฝนต้องไปทำงานที่ต่างประเทศก็ทำให้ทั้งคุณแม่และคุณฝนต้องห่างกัน ซึ่งคุณฝนก็ได้เล่าประสบการณ์ในตอนนั้นให้ฟังว่า “ไปถึงวันแรกคือร้องไห้เลย เพราะเราไม่เคยคิดว่าการจากบ้าน แล้วมันจะเหงาขนาดนั้น ตอนแรกก่อนไปคืออยากไปมาก จะไป Enjoy Around The World ไปท่องเที่ยว แต่พอได้ไปอยู่คนเดียวมันเหงา ต้องทำอาหารเอง ทำอาหารก็ไม่เก่ง ซักผ้าเอง ถูบ้านเอง เจอ Flatmate หรือว่า Roommate ที่เข้ากันบ้าง ไม่เข้ากันบ้าง คือมันเป็นหลายๆ Emotion ที่เราจะต้องรับมือด้วยตัวเอง

เพราะฉะนั้นสิ่งที่ฝนสามารถที่จะปรับตัวได้ ก็คือวีดีโอคอลคุยกับแม่ โทรหาคุณแม่ หรือว่าบินกลับมา ในทุกๆวันหยุดที่มันสามารถบินกลับมาได้ หลายๆคนถามว่า อุ้ย ทำไมบินกลับมาบ่อยจังเลย ไม่เปลืองค่าตั๋วหรอ ไม่รู้สึกเหนื่อยหรือว่าเสียเวลาหรอ สำหรับฝนรู้สึกว่า เอาตัวเองไปอยู่ในที่ที่สบายใจ มันมีความสุขกว่า 

แต่ถามว่าแล้วทำไมยังไม่ลาออก หลายคนจะชอบถามเพราะมันดูย้อนแย้ง ก็เพราะว่าเรายังรักงานนี้อยู่ ยังคงชอบงานและสายการบินที่เราทำงานอยู่ เราก็เลยหาทางที่จะ Manage ตัวเอง”

.

Distance means nothing, when someone means everything

คำเตือน โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

  • จุดเริ่มต้นของการ ‘มูเตลู’

ในตอนนี้เราก็ได้เดินทางกับคุณฝนจนมาถึงในหัวข้อที่ใครๆก็น่าจะอยากรู้ การมูเตลูของคุณฝน มีจุดเริ่มต้นยัง หรือคุณฝนนั้นมูอะไรบ้างกว่าที่จะมาถึงจุดนี้

ซึ่งคุณฝนก็ได้เล่าว่า การมูของคุณฝนเริ่มต้นตั้งแต่ตอนที่คุณฝนเด็กๆ เป็นเด็กที่ชอบทำบุญอยู่แล้ว แต่พอโตขึ้นเข้าสู่วัยทำงาน คุณฝนเองก็อยากที่จะมีที่พึ่งทางจิตใจ ยิ่งในช่วงของตอนที่กำลังสมัครแอร์โฮสเตส ตอนนั้นลองตระเวนไหว้ตามที่ที่มีคนบอกว่าดี ไม่ว่าจะโซนภาคเหนือ หลวงพ่อทันใจ หรือภาคกลางอย่างเช่นวัดแขก พระพรหม ที่ต่างๆที่ว่าดีคุณฝนก็ไปหมด แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณฝนไหว้เสร็จแล้ว คุณฝนก็เดินเข้าไปสัมภาษณ์ โดยที่ไม่มีทักษะ ไม่มีความรู้อะไรเลย

ฝนมองว่าการที่เรามูอะค่ะ เป็นที่พึ่งทางใจให้กับเราได้ แต่ตัวเราเองก็ต้องพัฒนาตัวเองด้วย จะให้เทพมาช่วย ท่านก็คงบอกว่า โอ๊ย แล้วหนูไม่ทำอะไรเลยหรอ เขาก็ไม่รู้จะช่วยยังไง ถูกไหม ไม่มีอาวุธ ที่อยู่ในมืออะ จะไปสู้รบมือเปล่างี้ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องเตรียมอาวุธไว้ในมือของเรา แล้วพอมันถึงเวลาที่เราพร้อมแล้วมีจังหวะที่จะให้เรา จ้วง แทง มันก็อาจจะพอเหมาะพอดีกับสิ่งที่เราขอไปเพราะฉะนั้นมูได้ แต่ก็ต้องอย่าลืมพัฒนาตัวเองด้วย

.

  • มีทุกวันนี้ได้เพราะการมู

คุณฝนได้บอกกับพวกเราว่าถ้านอกเหนือจากการพัฒนาตัวเอง คุณฝนก็เชื่อว่าที่ตัวเองมีทุกวันนี้ได้เพราะการมู ด้วยความเชื่อ และประสบการณ์หลายๆครั้งของคุณฝน “ในตอนที่ได้เป็นแอร์โฮสเตสของสายการบิน Emirates ฝนก็ไปไหว้ที่วัดแขก หรือในตอนที่ทำงานแล้ว ฝนต้องการแลกไฟลต์มากรุงเทพฯ แต่หาแลกยังไงก็ไม่ได้ จนสุดท้ายฝนยกมือไหว้ขอพระแม่ หลังจากนั้น 30 นาที มีคนส่งไฟลต์กรุงเทพฯมาขอแลก มันก็เป็นเรื่องของความเชื่อ ฝนอะขอแล้วได้ เราก็กลับไปไหว้ขอบคุณเขา”

แต่แน่นอนว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นเรื่องที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ อาจจะมีบางคนใจร้อน ขอแล้วอยากได้เลย คุณฝนจึงมักแนะนำว่า อย่างแรกเลยที่ต้องมีคือความศรัทธา และของแบบนี้ต้องใช้เวลา คุณฝนก็เปรียบเทียบให้เราเห็นภาพมากกว่าเดิม ด้วยการเปรียบกับการทาครีมบำรุงหน้า การใช้ครีมทาหน้า ยังต้อง Take Time ในการรอเห็นผล และถ้าใครที่อยากจะมูก็หาเทพที่คิดว่าเขาจะเข้ากับเราได้ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะมูแล้วได้หรือสมหวังในแบบเดียวกันกับคนอื่น

.

  •  I told พระแม่ลักษมี about you 

มาถึงคอนเทนต์ยอดฮิต I told พระแม่ลักษมี about you คุณฝนเองก็เคยได้ทำคอนเทนต์นี้ แต่เป็นการเล่าย้อนไปถึงในช่วงปี 2563 เลยทีเดียว

“ตอนเราเห็นกระแสนี้เราก็นั่งยิ้ม แบบเราได้แล้วนะ จากพระแม่เนี้ยแหละ ในช่วง 2563 มีคนบอกว่าถ้าอยากได้ความรักที่จริงจังจริงใจให้ขอพระแม่ลักษมี แต่ต้องเตรียมใจไว้นะ ถ้าเขาไม่ใช่จะหลุดไปทันที ฝนก็ขอจากที่บ้านเลย เพราะตอนนั้นฝนมีรูปพระแม่อยู่พอดี เราขอคนที่จะเข้ามาซัพพอร์ตเรา ศีลเสมอกัน ถ้าไม่ใช่ก็ขอให้ผ่านไปเลย เพราะฝนอยากมีความรักที่ดีและหลังจากนั้นไม่นานคนที่ฝนคุยเขาก็เปิดตัวคนคุยของเขา เราก็ โอเค ออกไปแล้วเรียบร้อย สักพักสามีก็โผล่มาจากทิศทางไหนก็ไม่รู้ เคยคุยกันมาก่อน แต่ไม่คลิก แต่อยู่ดีๆหลังจากนั้นก็เร่ิมคลิกกันก็เลยสานต่อมาเรื่อยๆ แล้วหลังจากนั้นที่ได้เจอกันสองเดือนก็หมั้นกันเลยค่ะ”

แล้วคุณฝนก็ยังได้แชร์ให้เราได้รับรู้ถึงอีกมุมหนึ่ง ก่อนที่คุณฝนจะตัดสินใจทำคอนเทนต์เกี่ยวกับการมูอีกด้วย ในตอนที่คุณฝนทำคอนเทนต์ของพระแม่ลักษมีตอนนั้นคลิปที่ทำคือล้านวิวในเวลาไม่ถึงครึ่งวัน นั้นทำให้คุณฝนได้รู้ว่าการทำคอนเทนต์เกี่ยวกับการมูนั้นมันไม่ได้ผิด เพราะเมื่อก่อนคุณฝนคิดว่าถ้าพูดเรื่องสายมู คนจะคิดว่างมงายรึเปล่า บ้าที่เชื่ออะไรแบบนั้น กลายเป็นว่าพอคุณฝนได้ปลดล็อกจากคลิปนี้แล้ว คุณฝนก็มักจะทำคลิปแชร์เรื่องของพระแม่ เพราะว่าคุณฝนอยากให้คนศรัทธา บูชาพระแม่มากขึ้น

ในปัจจุบันการมูนั้นแพร่หลายมากยิ่งขึ้น เพราะหลายๆคนก็อยากที่จะได้ที่พึ่งทางจิตใจ อยากจะหาอะไรสักอย่างที่จะรับฟังคำขอของเขา แต่แน่นอนว่า ขอแล้ว เราก็ต้องทำด้วย เพราะหากเอาแต่ขอ ต่อให้ได้พรมา เราก็ไม่อาจที่จะได้ตามนั้นเพราะเราไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย

.

  • สำหรับมือใหม่สายมู ต้ององค์นี้แหละ

เมื่อพูดคุยกันมาจนถึงตอนนี้ หลายๆคนอาจจะรู้สึกว่าทำไมเยอะจัง มีแบบม้วนเดียวจบสำหรับคนที่อยากเข้าวงการไหม แน่นอนว่า TravelNews ก็ไม่พลาดที่จะถามมาให้ คุณฝนได้แนะนำพระพิฆเนศให้กับทุกคน เพราะว่าพระพิฆเนศนั้นเป็นปฐมบทของการเริ่มบูชาองค์เทพในศาสตร์ของฮินดู โดยท่านจะช่วยในเรื่องของความสำเร็จ ขจัดอุปสรรค สุขภาพแข็งแรง เสริมดวงของผู้ไหว้ด้วย 

.

จุดเด่นอีกเรื่องหนึ่งที่ทุกคนเห็นได้ชัดมากนอกเหนือจากเรื่องของการมูแล้ว ในช่องทางต่างๆของคุณฝน คือการที่คุณฝนนั้นเป็นคนที่มีพลังงานบวกเยอะมากๆ ตั้งแต่การเล่าถึงเรื่องที่ตัวเองนั้นสมัครแอร์มีทั้งสมหวังและผิดหวัง ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยที่จะสามารถยิ้มรับได้ในบางครั้ง

“จริงๆส่วนตัวแล้ว ฝนว่าฝนได้รับการเลี้ยงดูการหล่อหลอมมาจากคุณแม่ ด้วยเอนเนอร์จี้บวก ให้เป็นคนสู้ชีวิตแต่ไม่ได้จะต้องลดทอนคุณค่าตัวเอง เอาง่ายๆตั้งแต่เด็ก อย่างที่บอกฝนเป็นบุตรบุญธรรมเนอะ คุณแม่ก็จะสอนจะบอกเราตลอดให้เรายอมรับความจริง คนเราพอยอมรับความจริงได้อะ มันไม่จำเป็นต้องมาลดทอนคุณค่าตัวเองว่าฉันเป็นเด็กไม่มีพ่อไม่มีแม่ แล้วจากจุดนี้มันทำให้ฝนเห็นคุณค่าของการที่ฝนมีคุณแม่เป็นคุณแม่บุญธรรม พอเรารู้สึกโชคดีในชีวิต เราก็อยากจะแบ่งปันเรื่องราวดีๆที่เราเจอ หลายครั้งฝนไม่ได้คิดว่าเรื่องในชีวิตของตัวเองเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ แต่พอเล่าออกไปแล้ว หลายๆคนบอกว่ามันทำให้เขามีความสุข แล้วมันก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ประดิษฐ์ขึ้น มันเล่าออกมาจากใจ มันเลยส่งไปถึงทุกๆคนที่อยู่หน้าจอ ด้วยพลังงานบวกๆ”

แล้วคุณฝนยังได้ฝากถึงคนที่อยากจะเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์อีกด้วยว่า “หนึ่งอย่าหวังยอดวิว อย่าหวังว่าคนจะต้องมาตามฉันเยอะๆ จะต้องได้รายได้ดี เริ่มจากสิ่งที่เราชอบ เริ่มจากการแชร์ออกไปจากใจ แล้วคอนเทนต์จะเป็นคอนเทนต์ที่มีความสุข เมื่อคุณสุข คนดูเขาก็มีความสุข เขาก็จะกลับมาติดตามคุณเอง แล้วสิ่งดีๆก็จะเข้ามา คือฝนเชื่อแบบนั้น ก็เลยรู้สึกว่าสิ่งดีๆที่ฝนได้รับอะ มันเริ่มจากการให้ก่อน”

  • จุดหมายปลายทางในฝัน

“คือจริงๆแล้วมี Destination ที่อยากไปมากๆนะคะ คือไปไอซ์แลนด์ อยากจะไปดูแสงเหนือ คุณแม่ฝนน่ะ เคยตั้งเป็นสเตตัสบนไลน์ว่าครั้งหนึ่งก่อนตาย อยากไปเที่ยวรอบโลก แล้วการไปดูแสงเหนือมันก็เป็นหนึ่ง Destination ที่เขาแบบใฝ่ฝัน ก็เลยรู้สึกว่าถ้ามีวันหนึ่งเราสามารถพาเขาไปได้ ก็จะพาไป มันเป็นความความเศร้าอย่างหนึ่งในชีวิตแอร์นะ ที่แบบลูกได้ไปเที่ยวทุกที่ที่อยากไป แต่แม่ คนที่สร้างแรงบันดาลใจให้เรา กลับต้องอยู่บ้าน

แล้วบ้านอยู่แถวสุวรรณภูมิ มองเครื่องบินขึ้นลงขึ้นลง โดยไม่ได้ไปไหนเลย เราก็เลยรู้สึกว่าเนี้ยมันเป็นทริกเกอร์ในใจที่รู้สึกว่าถ้าวันหนึ่งจะพาคุณแม่ไป”

.

  • แพลนในอนาคต

“แพลนในอนาคตคืออยากกลับไปทำยูทูบอาจจะเพิ่มเติมในสายของคุณแม่และเด็ก เพราะหลังจากงานแต่งไป มีแพลนที่จะมีน้อง เพราะเรารู้สึกว่าเราอยากจะเป็นแม่ที่มีความสุข แล้วก็แชร์เรื่องราวในแบบของเรา อาจจะมี Product แม่และเด็กในอนาคต 

ช่วงที่ Maternity leave ก็จะไปช่วยสามีทำร้านร้านนายดลมะขามเฒ่า และอาจจะขายผลิตภัณฑ์อาหารทะเล แต่อันนี้คือแพลนในชีวิตคร่าวๆ เพราะเราไม่สามารถบอกได้ว่าพอถึงจุดนั้นแล้ว ฮอร์โมนคุณแม่ จะเป็นยังไง แล้วก็อีกประมาณสามถึงสี่ปี อาจจะถอดปีก เพราะเรารู้สึกว่าเราอยากจะกลับมาใช้ชีวิตครอบครัว ในช่วงที่ผ่านมาเราใช้ชีวิตค่อนข้างคุ้ม เราขอกลับมาอยู่กับครอบครัว อยู่กับคุณแม่ และนี่คือสิ่งที่หมอดูได้บอกมาค่ะ นี่คือแพลนตามหมอดูล้วนๆ แต่เรามีความสุขไง ที่แพลนไปเป็นสเต็ปๆ”

 

เรียกได้ว่าคุณฝนเป็นคนที่ดูดวงให้มาเป็นแนวทางแล้วก็เดินตามดวงเลย ซึ่งคุณฝนก็บอกมาอีกว่า เพราะเมื่อไหร่ที่คุณฝนทำตามดวง มันเกิดความสำเร็จได้ง่ายขึ้น เหมือนเป็นจังหวะชีวิตที่ใช่ มันเป็นเหมือนการเตรียมความพร้อมของเรามาก่อน แล้วมันก็พอดี

“เพราะฉะนั้นฝนอยากจะให้ความพอดีนั้นเกิดขึ้นมาอย่างถูกที่และถูกเวลา เลยฟังหมอดูแบบฟังหูไว้หู แล้วก็ลงมือทำด้วย

คือความสำเร็จมันไม่เกิดถ้าเราไม่ลงมือทำในทุกๆเรื่อง อันนี้ไม่ต้องไปดูดวงก็ได้ คือทุกคนรู้อยู่แล้ว เข้าร้านอาหาร อยากจะกินแต่ไม่สั่ง ก็ไม่มีอาหารออกมาสักที เพราะฉะนั้น ความสำเร็จทุกอย่างมันจะต้องเกิดจากการลงมือทำ ต่อให้ใครบอกว่าดีแค่ไหนแต่คุณไม่ลงมือทำ คุณก็ไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ ตามดวง คนเราดวงเคลื่อนบ่อยนะ ดวงเคลื่อนได้ เพราะคิดว่าเดี๋ยวมันก็มาเดี๋ยวมันก็มา แล้วมันก็ผ่านไป เพราะเราไม่ได้ลงมือทำ”

.

  • ช่องทางการติดตาม

เฟซบุ๊ก : NamfonStories

ติ๊กต๊อก : NamfonStories